สธ.ประเมินหามาตรการแพทย์ฉุกเฉินดูแลม็อบ

สธ.ประเมินหามาตรการแพทย์ฉุกเฉินดูแลม็อบ

สธ.ประเมินหามาตรการแพทย์ฉุกเฉินดูแลม็อบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปลัด สธ. ประชุมเพื่อเตรียมการแพทย์ฉุกเฉิน ดูแลเหตุรุนแรงในม็อบต่างจังหวัด พร้อมสนับสนุนทันที เผย วิธีการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากม็อบ ตามแผนศูนย์เอราวัณ

นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ ประชุมประเมินสถานการณ์จากการชุมนุมการเมืองและการปฏิบัติงานของหน่วยแพทย์ฉุกเฉินในการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บ โดย นายแพทย์ณรงค์ กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการวันนี้ ได้ทบทวนการปฏิบัติงานในวันที่ 4-5 ธันวาคม 2556 ซึ่งไม่มีเหตุการณ์รุนแรง โดยกระทรวงสาธารณสุขมีการเตรียมพร้อมหน่วยแพทย์กู้ชีพทั้งระดับพื้นฐานและระดับสูง เพื่อให้การสนับสนุนศูนย์เอราวัณกรุงเทพมหานคร ร่วมกับมูลนิธิปอเต็กตึ้ง และมูลนิธิร่วมกตัญญู ตามแผนเอราวัณ 2 และได้มีการปรับระบบข้อมูลผู้ป่วยให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน โดยในวันนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมหน่วยพยาบาลกู้ชีพฉุกเฉินชั้นสูง แบ่งออกเป็น 2 จุด ได้แก่ เขตพื้นที่ กทม. เตรียม 6 ทีม จาก ร.พ.ราชวิถี ร.พ.เลิดสิน และ ร.พ.นพรัตนราชธานี และประจำการที่ ร.พ.สงฆ์ 1 ทีม ส่วนที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ได้ให้ ร.พ.พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี เตรียมไว้ 2 จุด ที่ ร.พ.มงกุฎวัฒนะ และเมืองทองธานี

หากมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ได้ประสานให้ทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ใน 6 จังหวัด พร้อมเดินทางเข้าปฏิบัติงานสนับสนุนเขต กทม. ทันที ได้แก่ นครนายก ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และนครปฐม และให้อีก 4 จังหวัดคือ สระบุรี ลพบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี สนับสนุนที่ศูนย์ราชการฯ

ขณะที่การดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขผู้ชุมนุม กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำงานร่วมกับกรุงเทพมหานคร ภายใต้แผนปฏิบัติการเอราวัณ ขณะนี้ เป็นแผนเอราวัณ 2 ใช้ทรัพยากรร่วมกันทั้งทีมแพทย์ฉุกเฉินขั้นสูง (ALS) ที่มีในโรงพยาบาลต่างๆ และทีมฉุกเฉินขั้นพื้นฐานของมูลนิธิต่างๆ ที่หลักๆ คือปอเต็กตึ้งและร่วมกตัญญู ในการที่จะนำส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน ทั้งเจ็บป่วย อุบัติเหตุ จากการชุมนุมและการปะทะกันนำส่งโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อความปลอดภัย โดยตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนเป็นต้นมา ปฏิบัติการตามแผนเอราวัณของกรุงเทพมหานคร ช่วยนำส่งผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บไปรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนแล้วเกือบ 300 ราย  


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook