เมื่อวานนี้(16 ธ.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการโพสรูปตัวเองใส่กางเกงขาสั้นถือไม้กวาด พร้อมทั้งข้อความระบุถึงจุดจบของฝ่ายค้าน ทางเฟซบุ๊ก "ชูวิทย์ I′m No.5" หลังจากที่ตัวเองได้ปฎิบัติหน้าที่เป็นนักการเมืองฝ่ายค้านเสมอมา ใจความว่า

จุดจบของฝ่ายค้าน

หลังจากยุบสภา มีเอกสารเรื่องราวค้างเก่ามากมาย ไม่ว่าร่างกฎหมาย เอกสารประชุมสภาฯ รวมทั้งเรื่องร้องเรียนจากประชาชนทั่วประเทศที่ผมยังเก็บเอาไว้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าเรื่องบ่อนการพนัน สถานอบายมุข เรื่องราวไม่ชอบมาพากล คอรัปชั่น รวมทั้งข้อมูลทางลับต่างๆ ผมยังคงคิดอยู่ว่า จะใช้ข้อมูลเหล่านี้อย่างไรให้เป็นประโยชน์ ในขณะที่ไม่ได้เป็น ส.ส.

อย่างเรื่องบ่อนการพนัน ผมรู้ว่าถ้าส่งให้ตำรวจ ก็เหมือนกับ "สอนจรเข้ให้ว่ายน้ำ" เพราะเรื่องต่างๆเหล่านี้ตำรวจรู้ดี เพียงแต่ไม่ยอมทำอะไร

ผมเป็น ส.ส. มา 2 สมัย สมัยแรกอยู่พรรคชาติไทยเป็นฝ่ายค้าน อีกสมัยหนึ่งตั้งพรรคเอง พรรครักประเทศไทย ก็ยังเป็นฝ่ายค้าน ผมคิดว่าการเป็นฝ่ายค้านเหมาะสมกับผม มากกว่าจะไปทำงานในฝ่ายบริหาร

ใครๆก็อยากเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น แต่ผมเห็นว่าการเป็นฝ่ายค้านนั้นเป็นประโยชน์ หากเราสามารถจี้จุด ติดตามฝ่ายบริหาร และค้านแบบมีเหตุผล

ในสมัยที่ผ่านมา ผมได้ติดตามงานอยู่หลายเรื่อง ไล่ตั้งแต่คอรัปชั่นขั้นพื้นฐานอย่างบ่อนการพนัน สถานอบายมุข การบริหารงานของการรถไฟฯ โครงการโรงพัก 396 แห่ง งบประมาณที่รั่วไหล และอีกหลายอย่าง

ท้ายสุด เขาทะเลาะกันจนยุบสภา ฝ่ายค้านอย่างผมก็ได้แต่เก็บกวาด บ้านใครบ้านมัน

มีคนเคยบอกผมว่า การเมืองนั้นมันหอมหวล ใครลองได้ไปเล่นแล้วมันลุ่มหลงติดใจ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตั้งแต่ผมทำงานการเมืองมา 10 ปี ผมมีแต่เสียเงิน เสียทอง เสี่ยงชีวิต เสี่ยงตาราง ขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่รู้ว่าจะมีเงินทองมาจากไหน?

หรือเพราะว่าผมเป็นฝ่ายค้านก็ไม่รู้? จุดจบของฝ่ายค้านอย่างผมเลยเป็นแบบนี้

อัลบั้มภาพ ชูวิทย์ โพส จุดจบของฝ่ายค้าน เหลือแค่นี้ ภาพที่ 5 / 6

ชูวิทย์ โพส จุดจบของฝ่ายค้าน เหลือแค่นี้

อัลบั้มภาพที่เกี่ยวข้อง

ชูวิทย์ โพสต์FB แขวะ สนธิ-พระสุเทพ ไล่แม้วเพราะโกง แต่ตัวเองโดนคดีโกงซะเอง

ชูวิทย์ โพสต์FB พระกระสันการเมือง ชี้อีกหน่อยคงห่มผ้าเหลืองเข้าสภาฯ อภิปรายเป็นภาษาบาลี

ชูวิทย์ ชี้ยิ่งลักษณ์และทักษิณมีชะตากรรมคล้ายคลึงกัน ฟันธงอาจมีจุดจบไม่ต่างกัน

ชูวิทย์ แนะ ประภัสร์ ลาออก สังคมกำลังมองหาความรับผิดชอบ ไม่ใช่คำแก้ตัว