10 แข้งเสียดายตังค์ตลาดปีใหม่
ฟุตบอล : ไหนๆ "ต้นหิน" ก็จัดการนำเสนอ "10 แข้งสุดคุ้มตลาดปีใหม่" ไปแล้ว ไอ้ครั้นจะปล่อยให้ดูแต่ด้านดีๆ มันก็ใช่เรื่อง เพราะในชีวิตจริงทุกอย่างมันมี 2 ด้านด้วยกันทั้งนั้นล่ะ ว่าแล้ววันนี้กระผมขอเสนอขั้วตรงข้ามให้ได้เสพก็แล้วกัน
ก็อย่างว่านะ ตลาด ม.ค. ก็เหมือนเสี่ยงดวงซื้อหวย ตาดีได้ตาร้ายเสียกันไป นอกจากนักเตะใหม่จะไม่ได้มีโอกาสในการปรับตัวให้เข้ากับทีมมากสักเท่าไหร่จนทำให้ผลงานอาจจะไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่ถูกคาดหวังเอาไว้ ซ้ำร้าย ตลาดนักเตะช่วงหน้าหนาวแบบนี้โก่งราคาได้โก่งราคาดี เพราะหากไม่ซื้อก็ต้องรออีกทีช่วงปิดฤดูกาลโน่นเลย บางทีมยังต้องจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายมาช่วยทีมลุ้นคว้าแชมป์ ในขณะที่พวกหนีตายยิ่งโดนบีบคั้นมากกว่า หลังการซื้อไม่สำเร็จอาจหมายถึงการตกชั้น
ไม่ว่าจะทีมใหญ่ ทีมเล็ก เงินเยอะ เงินน้อย แต่การซื้อนักเตะโดยเฉพาะในช่วงเดือนม.ค.แบบนี้ ความเสี่ยงจะล้มเหลวมากพอกัน ไม่ว่าจะย้ายมาด้วยชื่อเสียงระดับไหนหรือค่าตัวแพงเป็นสถิติหรืออย่างไร และนี่คือ 10 แข้งเสียดายตังค์ตลาดปีใหม่ (ไม่เรียงลำดับนะจ้ะ)
โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส || เซบีย่า ไป อาร์เซน่อล (17 ล้านปอนด์, 2004)
อาจจะเก่าหน่อย แต่เชื่อว่า "เดอะ กูนเนอร์ส" ทั้งหลายน่าจะยังจำกันได้ "สปีดดี ลีลาเด็ด ยิงประตูใช้ได้" เสียอย่างเดียวไม่ประสบความสำเร็จในแง่ผลงานส่วนตัวกับทีมก็เท่านั้นเอง
เรเยส เปิดตัวได้น่าดูชมทีเดียว หลังย้ายมาแล้วช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ในฤดูกาลแรกที่แลนดิ้งถึงกรุงลอนดอนทันที แถมยังเป็นผู้บันดาลประตูชัยซัดโครมใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในฤดูกาลถัดมาได้อีกต่างหาก
แต่เรื่องราวหลังจากนั้นเหมือนไอ้หนุ่ม "อันโต" จะโดนลักพาตัวไปแล้วให้คนหน้าคล้ายมาไล่หวดลูกหนังแทน ผลงานไม่สม่ำเสมอเหมือนเคย แถมยังโฮมซิค สุดท้ายก็อยู่ต่อไม่ไหวจำใจต้องย้ายกลับบ้านในที่สุด จัดเป็นนักเตะที่ทำเสียดายตังค์เพราะจิตใจไม่ใช่ผลงานอย่างที่สุด
เจมส์ บีทตี้ || เซาธ์แฮมป์ตัน ไป เอฟเวอร์ตัน (6 ล้านปอนด์, 2005)
ครั้งหนึ่งหัวหอก "นักบุญแดนใต้" เคยเข้าฝักถึงขั้นถูกยกไปเปรียบกับ อลัน เชียร์เรอร์ กองหน้าในตำนานของ นิวคาสเซิ่ล มาแล้ว แถมยังได้รับความสนใจจาก ลิเวอร์พูล อีกต่างหาก แต่ก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว แป๊บเดียวชาวบ้านก็ลืมหมด
บีทตี้ ย้ายเข้าสู่ถิ่นกูดิสัน พาร์ค ด้วยโปรไฟล์ระดับยิงยับใน 2 ฤดูกาลหลังสุดก่อนจะย้ายทีม (23 ประตู 2002/03 และ 14 ประตู 2003/04) แต่ครั้นได้เปลี่ยนร่างจากชุดแดงลายขาวมาเป็นน้ำเงินเข้มสดใสแล้ว จำนวนประตูก็หดหายโดยพลัน
หัวหอกร่างใหญ่ทำได้แค่ 1 ประตูจาก 11 นัด ฤดูกาลถัดมาอาจจะดีขึ้นมาถึง 110% ก็จริง (11 ประตู) แต่ผลงานและการมีส่วนร่วมกับสาละวันเตี้ยลงๆ จนค่อยๆ ระเห็จลงไปเล่นกับทีมในดิวิชั่นต่ำเตี้ยลงเรื่อยๆ
ฌอง-อแล็ง บูมซง || กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ไป นิวคาสเซิ่ล (8 ล้านปอนด์, 2005)
ตำนานชัดๆ สำหรับแนวรับดีกรีทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้ ดาวเตะเชื้อสายแคเมอรูนย้ายจาก โอแซร์ มาเล่นให้กับ เรนเจอร์ส แบบฟรีๆ เมื่อซัมเมอร์ปี 2004 และทำผลงานได้เด็ดดวงด้วยมาตรฐานลีกเมืองน้ำหอมซึ่งสูงกว่าลีกแดนขี้เมา
แกรม ซูเนสส์ กุนซือ "สาลิกาดง" จึงเกิดอาการถูกใจเจ๊ขึ้นมาหลังได้เห็นลีลาการเข้าสกัดอันแม่นยำและเต็มไปด้วยชั้นเชิงของ บูมซง ว่าแล้วก็เลยทุ่มเงินซื้อตัวเข้ามาด้วยราคาที่จัดว่า "แพง" ในยุคนั้น
บูมซง เปิดตัวได้อย่างน่าชื่นชมในฤดูกาลแรกกับ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่กับในฤดูกาลที่ 2 นั้น ค่าตัวที่เคยจ่ายไปแล้วดูมีแววจะคุ้มนั้นก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไปว่า โคตรจะไม่คุ้ม ก่อนจะขายเลหลังให้ ยูเวนตุส ซึ่งตอนนั้นตกชั้นไปเล่นใน เซเรีย บี ด้วยราคา 3.3 ล้านปอนด์
ริคาร์โด้ โรช่า || เบนฟิก้า ไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (3.3 ล้านปอนด์, 2007)
กองหลังชาวโปรตุเกสย้ายมาอยู่กับ "ไก่เดือยทอง" ในยุค มาร์ติน โยล โดยหวังจะดึงมาทดแทน เล็ดลีย์ คิง แนวรับกัปตันทีมซึ่งเดี้ยงยาวเป็นระยะ แต่แทนที่ โรช่า จะมาช่วยทีม ดันทะลึ่งมาเพิ่มภาระให้กับทีมเสียอย่างนั้น
โรช่า ทำพลาดอย่างร้ายแรงในเกมกับ อาร์เซน่อล ใน ลีก คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ทำให้ สเปอร์ส คิดได้ทันทีว่างานนี้ถ้าไม่โดนย้อมแมวก็คงต้องไปควักลูกตาทีมงานที่ส่งไปตามดูดาวเตะรายนี้แทนแล้วล่ะ เอาตาข้างไหนดูถึงได้ส่งรายงานสนับสนุนให้ซื้อตัวมาได้
นับจากนั้น โรช่า ก็ได้ลงเล่นด้วยจำนวนเกมแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น โดยฤดูกาลแรกเล่นรวมทุกรายการ 13 นัด ฤดูกาลถัดมา 5 และฤดูกาลสุดท้าย 0 นัด สถิติแบบนี้ให้ฟรีอาจจะยังโกรธ
อฟอนโซ่ อัลเวส || ฮีเรนวีน ไป มิดเดิ้ลสโบรช์ (12.7 ล้านปอนด์, 2008)
นี่ก็เข้าขั้นตำนานอีกหนึ่งราย และหากมีการหยิบยกชื่อกองหน้า "บราซิล" ที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลก อังกฤษ มั่นใจว่าคอบอลเกิน 1 ล้านคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน อฟอนโซ่ อัลเวส!!
หัวหอกหน้ากลมโชว์ฟอร์มสะเด่าระห่ำแตกใน เอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ ด้วยการสอยตาข่ายให้ ฮีเรนวีน ได้ถึง 45 ประตู จาก 38 นัด ยิงเยอะกว่าจำนวนนัดที่ลงเล่นเสียอีก ใครเห็นสถิติแบบนี้ก็ต้องชื่นชมว่าเก่งเป็นเทพอย่างเดียวทั้งนั้น
แต่น่าเสียดาย อฟอนโซ่ อัลเวส กลายสภาพจาก "ไอ้เสือ" เป็น "ไอ้เหมียว" เมี้ยวๆ ต่อหน้าสไตล์ลูกหนังเมืองผู้ดี โดยทำได้ 6 ประตู จาก 11 นัดในฤดูกาลแรกซึ่งถือว่าค่าเฉลี่ยยังดีในระดับน่าพอใจ แต่ในฤดูกาลหลังนี่สิ จำนวนประตูหดลงเหลือ 4 ประตูจาก 34 นัด
ริคาร์โด้ กวาเรสม่า || อินเตอร์ มิลาน ไป เชลซี (ยืมตัว, 2009)
จัดว่าเข้าขั้นคลาสสิกระดับ "เทพยูทูป" ไปอีกราย กวาเรสม่า ย้ายมาอยู่กับ "สิงห์บลูส์" ในยุคหลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือชาวบราซิล โดยเป็นการดึงตัวมาชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ทั้งที่จอมเลื้อยรายนี้ขึ้นชื่อเรื่องความล้มเหลวหากต้องไปเล่นที่อื่นซึ่งไม่ใช่บ้านเกิด
กวาเรสม่า ล้มเหลวแบบสุดๆ กับ อินเตอร์ ในยุคโชเซ่ มูรินโญ่ เฮดโค้ชชาวโปรตุเกส แม้จะเป็นคนบ้านเดียวกันแต่ "เดอะ แฮปปี้วัน" ก็ไม่สามารถปลุกปั้น กวาเรสม่า ได้สำเร็จ โดยเจ้าตัวล้มเหลวหนักข้อถึงขนาดได้รางวัล "ถังขยะทองคำ" ตั้งแต่ฤดูกาลแรกใน เซเรีย อา เลยด้วยซ้ำ
ส่วนกับ เชลซี ปีกจอมเลื้อยผู้พิศมัยการเปิดลูกไซด์ก้อย (จะทำเพื่อ?) ได้ลงเล่นไปทั้งสิ้น 5 นัด สิริรวมระยะเวลาทั้งสิ้น 97 นาที นี่ขนาดยืมตัวนะ... ยังเสียดายค่าจ้างเลย
เวย์น บริดจ์ || แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป เวสต์แฮม (ยืมตัว, 2011)
"เดอะ แฮมเมอร์ส" พยายามสุดตัวเพื่อจะรอดตกชั้นให้ได้ และแนวรับก็คือจุดอ่อน ณ เวลานั้น ด้วยเหตุฉะนี้ เดวิด ซัลลิแวน และเดวิด โกลด์ ดูโอเจ้าของสโมสรจึงจำเป็นต้องเติม "ประสบการณ์" เข้าสู่แผงกองหลังเพื่อยพยุงตัวให้รอดจากสถานการณ์สุดบัดซบให้ได้
เวย์น บริดจ์ ซึ่งเสียเหลี่ยมจนกู่ไม่กลับนับตั้งแต่ถูก จอห์น เทอร์รี่ "แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ" ก็เลยถูก แมนฯ ซิตี้ ต้นสังกัดปล่อยตัวไปหาฟอร์มเดิมๆ กลับมา โดยปล่อยให้ เวสต์แฮม ยืมไปใช้งานแลกกับแค่ให้ช่วยออกค่าจ้างสัปดาห์ละ 90,000 ปอนด์
ปรากฏว่า "ไอ้สะพาน" ช่วยอะไรไม่ได้ เวสต์แฮม ตกชั้นพร้อมกับหนี้สินพะรุงพะรังซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากค่าจ้างของเจ้าหมอนี่นั่นล่ะ
เฟร์นานโด ตอร์เรส || ลิเวอร์พูล ไป เชลซี (50 ล้านปอนด์, 2011)
เรียกได้ว่าหัวหอกหน้ามนคนสเปนรายนี้ติดโผโพลทุกสำนัก ไม่ว่าจะเปิดหาข้อมูลจากสื่อเจ้าไหน "เอล นินโญ่" แทบจะการันตีการเอาชื่อตัวเองไปกองในนั้นอยู่ก่อนแล้ว... ราวกับว่าเขาย้ายทีมเพื่อสิ่งนี้!!
ตอร์เรส สละความเป็นฮีโร่ในถิ่นแอนฟิลด์ เพื่อพุ่งชนความสำเร็จในสีเสื้อ "สิงห์บลูส์" แล้วก็ได้มันเกือบจะครบทุกอย่างสมใจไม่ว่าจะเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และเอฟเอ คัพ ยังขาดก็แต่ พรีเมียร์ลีก อย่างเดียวเท่านั้น
หากวัดกันด้วยถ้วยแชมป์และเกียรติประวัติตามบรรทัดด้านบน ตอร์เรส คงดูหล่อขึ้นมาอีก 10 กะโหลก แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า "ส่วนร่วม" และ "จำนวนประตู" ดูจะทำให้เจ้าตัวหม่นราศีไปไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว หลังใช้เวลาเพียง 903 นาทีในการเบิกประตูแรก!! และปัจจุบันก็กระหน่ำซัดไปแล้วกระจุยกระจายถึง 40 ประตู จาก 149 นัด!!
แอนดี้ คาร์โรลล์ || นิวคาสเซิ่ล ไป ลิเวอร์พูล (35 ล้านปอนด์, 2011)
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ให้ลึกซึ้งสำหรับดาวยิงรายนี้หลังจากย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล แต่ก็คงไม่มีใครคาดคิดเช่นกันว่าดาวยิงตีนระเบิดอย่าง คาร์โรลล์ ซึ่งซัดเอาๆ ในสีเสื้อ "สาลิกาดง" จะมาดับอนาถเอาดื้อๆ แบบนี้
คาร์โรลล์ ทำได้เพียง 2 ประตูจาก 7 นัดในฤดูกาลแรกกับ "หงส์แดง" ท่ามกลางข้ออ้างว่า "ปรับตัวช้า" ซึ่งก็จริงนะ ใครมันจะปรับตัวได้ง่ายอะไรขนาดนั้น แต่ในฤดูกาลถัดมานั้นตัวเลขกลับยิ่งฟ้องชัด 4 ประตูจาก 35 นัด
อารมณ์ ลิเวอร์พูล คงเหมือน "มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้อง...ต้อง...ต้อง....ชอบมากๆ ด้วย" และตอนนี้ เวสต์แฮม เจ้าของดาวเตะรายนี้คนปัจจุบันซึ่งเซ้งต่อไปด้วยค่าตัว 17 ล้านปอนด์ก็คงจะเริ่มตะหงิดๆ บ้างแล้วเหมือนกัน
เบนนี่ แม็คคาร์ธีย์ || แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไป เวสต์แฮม (2.5 ล้านปอนด์, 2011)
หัวหอกทีมชาติแอฟริกาใต้ ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ "กุหลาบไฟ" แม้อายุจะเยอะแล้วก็จริง แต่ เวสต์แฮม ยังมองว่าหมอนี่ยัง "มีของ" เลยเจียดเงินซื้อตัวมาเสริมทัพ โดยหมายมั่นปั้นมือจะให้ช่วยยิงประตูสักฤดูกาลละ 10 เม็ดก็คุ้มทุนแล้ว
หากในกรณีที่เลวร้ายสุดๆ แม็คคาธีย์ ยิงประตูได้ไม่เยอะก็คงแค่เสียดาย อย่างน้อยก็ถือว่ามีอะไหล่ที่ยังพอพึ่งพาได้ แต่นี่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น หลังหัวหอกร่างตันซัดไม่ได้เลยแม้แต่เม็ดเดียว!!
ส่งลงสนามไปทั้งสิ้น 14 นัดตลอดช่วง 2 ฤดูกาล ทำไม่ได้เลยแม้แต่ประตูเดียว เลวร้ายถึงขั้น คาเรน เบรดี้ รองประธาน "ขุนค้อน" ต้องนิยาม แม็คคาร์ธีย์ ว่า "big fat mistake" ความผิดพลาดครั้งอ้วนๆ ซึ่งเจ้าตัวตั้งใจส่อเสียดน้ำหนักตัวซึ่งเกินมาตรฐานนักฟุตบอลมาเยอะเลยทีเดียว
ต้นหิน