เปิดโครงการประชานิยมตัดสินอนาคตเลือกตั้ง ปู

เปิดโครงการประชานิยมตัดสินอนาคตเลือกตั้ง ปู

เปิดโครงการประชานิยมตัดสินอนาคตเลือกตั้ง ปู
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากเหตุความวุ่นวายทางการเมืองทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์จำเป็นต้องลาออกและประกาศยุบสภาในที่สุด พร้อมทั้งได้ระบุวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ที่จะถึงนี้ ซึ่งใน 2 ปีที่ผ่านมาผลงานที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกโครงการประชานิยมต่างๆจนทำให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนรับเลือกมาเป็นรัฐบาล หลายโครงการก็ประสบความเร็จและล้มเหลวเช่นกัน ด้วยผลงานการบริหารโครงการเหล่านี้ย่อมมีผลโดยตรงต่อคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งโครงการทั้งหมดนี้ได้ใช้เงินไปร่วมแสนล้านบาท แต่ละโครงการมีผลงานเป็นอย่างไรบ้างมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยมีลูกหนี้เข้าร่วมโครงการ 1.82 ล้านราย มูลหนี้รวม 201,840.11 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้ที่เลือกพักเงินต้นและดอกเบี้ย ถึง 90.71% และเลือกลดดอกเบี้ยในอัตรา 3% โดยไม่พักเงินต้น จำนวน 9.29%

ปรับเงินเดือนผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี 15,000 บาท และจัดทำข้อเสนอการปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามคุณวุฒิ ส่งผลให้ข้าราชการมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ

โครงการบัตรเครดิตพลังงานเอ็นจีวีเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปีแรก โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ รถแท็กซี่ รถสามล้อเครื่อง รถตู้ร่วมโดยสารสาธารณะ และรถโดยสารสาธารณะอื่น ๆ
โดยให้วงเงินสินเชื่อสำหรับชำระค่าก๊าซแทนเงินสด จำนวน 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน และให้สิทธิ์ในการได้รับส่วนลดราคาก๊าซ NGV จำนวน 2 บาทต่อกิโลกรัม ภายในวงเงิน 6,000 บาทต่อเดือน รวมทั้งโครงการบัตรเครดิตพลังงานยกกำลัง 2 ต่อเนื่องจากปีแรกด้วย ช่วงเดือนตุลาคม 2555-สิงหาคม 2556 มีจำนวนผู้สมัครบัตรเครดิตพลังงานเอ็นจีวีจำนวน 70,871 ราย บัตรเครดิตพลังงาน สำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะจำนวน 2,974 ราย และยอดใช้บัตรในการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์เฉลี่ย 1.09 ล้านบาทต่อเดือน

โครงการรับจำนำข้าวเปลือกรวมทั้งหมด 3 รอบนั้น รัฐบาลได้ใช้เงินจ่ายไปกว่า 545,869 ล้านบาท และมีปริมาณข้าวเปลือกทั้งสิ้น 36.25 ล้านตัน 
ทั้งนี้ การดำเนินการทั้ง 3 รอบแบ่งเป็น นาปรังปี"55 มีปริมาณการรับจำนำ 14.86 ล้านตัน รวมเป็นเงินที่จ่ายให้เกษตรกร 218,196 ล้านบาท ขณะที่นาปี ปี 2555/2556 ทั้งสองรอบมีปริมาณรับจำนำรวม 21.39 ล้านตัน เป็นเงินรวม 327,673 ล้านบาท และจากผลการดำเนินการดังกล่าว ทำให้รัฐบาลเชื่อว่าสามารถยกระดับรายได้ของเกษตรกรจากการขายข้าวได้สูงถึง 4,000 บาทต่อตัน ส่วนเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็ยังได้รับประโยชน์จากราคาตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 2,500 บาทต่อตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 204,018 ล้านบาท

โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/2556 เมื่อสิ้นสุดโครงการวันที่ 31 มี.ค. 56 มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 372,457 ราย ปริมาณรับจำนำรวม 9.99 ล้านตัน โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินให้เกษตรกรแล้ว 26,877 ล้านบาท ซึ่งผลจากการดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาตลาด 0.48 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ารวม 4,795.20 ล้านบาท

ด้านกองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ดำเนินการต่อเนื่องจากปีแรก โดยได้จัดสรรโอนเงินงบประมาณให้กับหมู่บ้าน ชุมชนในพื้นที่ทั่วประเทศ จำนวน 79,067 หมู่บ้าน เป็นเงินจำนวน 29,870.30 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดสรรจำนวน 2,897 หมู่บ้าน

โครงการรถยนต์คันแรกมีการดำเนินงานต่อเนื่องก่อนสิ้นสุดโครงการ ซึ่งผลการดำเนินงานนับตั้งแต่เริ่มโครงการถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 มีจำนวนผู้ขอใช้ทั้งหมด 1,256,713 คัน คิดเป็นเงินที่ต้องคืน จำนวน 91,907,973,723 บาท ปัจจุบันมียอดการอนุมัติการจ่ายเงินคืนตั้งแต่เดือนกันยายน 2555-สิงหาคม 2556 จำนวน 466,153 คัน เป็นเงินจำนวน 32,579,472,299 บาท

โครงการบ้านหลังแรก เป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยมีการดำเนินงานต่อเนื่อง ก่อนสิ้นสุด
โครงการซึ่งผลการดำเนินงานนับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 มีผู้ขอใช้สิทธิ์จำนวน 15,845 ราย ภาษีที่ขอยกเว้นจำนวน 556 ล้านบาท

โครงการประชานิยมเหล่านี้ย่อมเป็นที่ชื่นชอบต่อประชาชนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงสร้างคะแนนนิยมอย่างล้นหลาม ถึงแม้ว่าบางโครงการจะล้มเหลวและสร้างหนี้ก็ตามที เป็นที่น่าจับตามองว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคเพื่อไทยจะใช้นโยบายโครงการประชานิยมเช่นนี้ เพื่อไต่เต้ากลับเข้ามาบริหารเป็นรัฐบาลอีกครั้งหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันอีกต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook