องอาจซัดDSIใช้วิชามารรังควานคนร่วมม็อบ

'องอาจ คล้ามไพบูลย์' จี้ DSI พิจารณาการออกหมายจับตามจริง อย่าเหวี่ยงแหเหมารวม และใช้วิชามารรังควาน คนร่วมม็อบ ระบุ มีขบวนการพยายามลดความน่าเชื่อถือของกลุ่ม กปปส.

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงในฐานะเป็นผู้ต้องหาคดีกบฏ ซึ่งกำลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ขอให้ศาลออกหมายจับ โดยอ้างว่าได้ออกหมายเรียกแล้ว ไม่มีใครไปรายงานตัวว่า ในส่วนของตนเองยังยืนยันว่า ไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาของดีเอสไอ เนื่องจากใช้สิทธิ์ในการไปร่วมชุมนุม และขึ้นเวทีปราศรัยตามสิทธิ์ที่เปิดโอกาสให้ทำได้ ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญในการแสดงความเห็น เมื่อ ดีเอสไอ ออกหมายเรียกและตนเองขอเลื่อน ก็มีเหตุอันควรให้เลื่อนได้ เพราะมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี  ดังนั้น ดีเอสไอ ไม่ควรเหวี่ยงแหเหมารวมไปขอให้ศาลออกหมายจับทั้งหมด แต่ควรพิจารณาตามข้อเท็จจริง และความจริงแล้ว ทั้ง 33 คน ที่ดีเอสไอจะไปให้ศาลออกหมายจับนั้น ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการและนักการเมือง ที่ไม่ได้เป็น แกนนำ กปปส. เพียงแต่ขึ้นเวทีให้ข้อมูลความรู้กับประชาชน ดังนั้น การดำเนินการของดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ ถือเป็นการใช้ "วิชามารรังควาน" คนที่ไปร่วมชุมนุม และชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งไม่สามารถยับยั้งการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญได้ และหวังว่ารัฐบาลคงไม่สั่งการให้ ดีเอสไอ ดำเนินการกับแกนนำโดยหวังผลให้การชุมนุมยุติลง

นอกจากนี้ นายองอาจ ยังกล่าวว่า ขณะนี้มีขบวนการที่จะพยายามลดความน่าเชื่อถือกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่ประกาศจะชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ โดย มีการใส่ความว่า คปท. ไม่ยอมให้จัดงานวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาล ทั้งที่ความจริงแล้ว คปท. พร้อมสนับสนุนและยังจัดงานวันเด็กด้วย รวมทั้ง มีความพยายามสร้างความหวั่นวิตกให้กับประชาชนที่จะเข้าร่วมชุมนุม โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกมาเตือนว่าการเข้าร่วมชุมนุมและชัตดาวน์เข้าข่ายกบฏ ผิดกฎหมายและอาจได้รับอันตราย ซึ่งนอกจากการลดความน่าเชื่อถือแล้วยังถือเป็นการข่มขู่ผู้ชุมนุม เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชน ดังนั้น หากมีข้อมูลว่าจะมีเหตุ ก็จะต้องเตรียมเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลให้เกิดความเรียบร้อย

พร้อมกันนี้เห็นว่า ควรไปบอกกับนายกรัฐมนตรี และคนในรัฐบาลที่เป็นต้นเหตุของการชุมนุมเคลื่อนไหวในครั้งนี้ และไม่ควรอ้างว่าการเคลื่อนไหวของ กปปส. ในวันที่ 13 ม.ค. จะเป็นชนวนไปสู่การทำรัฐประหาร