(ทด)เจ็บจุงเบย
เสียงนกหวีดยาวของ เควิน เฟรนด์ สิ้นสุดลงเท่านั้นแหละ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ต่างอะไรกับป่าช้าดีๆ นี่เอง
ผีห่าซาตานตนใดเหล่าเต้ามาจากเด้าแดนใด ช่างกลั่นแกล้งกันได้ลงคอ เพราะจู่ๆ ก็มาพรากชัยชนะใสๆ ในกำมือ เดวิด มอยส์ หนุ่มใหญ่หัวใจเหน็บหนาวไปชนิดที่ช็อกตาตั้งกันทั้งตำบล
เหตุเกิดเมื่อ 9 ก.พ. ตอนย่ำค่ำสนธยา แม้ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่อาการผู้บาดเจ็บร่อแร่นับไม่ถ้วน บางรายแทบกระอักสำลักน้ำลาย ออกมาเป็นสายน้ำเลือดจะชักดิ้นชักงอให้ได้ ณ วินาทีนั้น
ถึงอาการจะไม่แย่นักหนาขนาดที่เล่ามา แต่เชื่อเถอะว่าอารมณ์นั้น คงแทบอยากจะเอาปิ๊ปคลุมหัวมุดดินหนีโชคชะตาอันเลวร้ายไปสอบถามท่านยมบาลให้ รู้เแล้วรู้รอดว่า "มอยส์ ผิดอะไรเจ้าค๊ะ ถึงได้กลั่นแกล้งกันได้เพียงนี้"
รำลึกเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่มิวนิค
ว่าแล้วก็ให้นึกสงสารอีตามอยส์ ซะจริงๆ แม้อารมณ์บางส่วนจะฉาบปนไปด้วยความงุนงงสงสัยในความสามารถของเจ้าตัวบ้างก็ ตาม แต่ในวันที่ควรจะคว้าชัยกลับโดนขโมยไปในท้ายที่สุด ประหนึ่งว่าบุญมีแต่กรรมบัง
ประตูตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เจ๊บ ..เจ็บ นาทีสุดท้าย นาที 94 ของ ดาร์เรน เบนท์ ขโมยทุกซีนความรู้สึกไปแบบไม่เห็นใจหัวอกคนมีรอยแผลช้ำลึกอย่าง เดวิด มอยส์ เอาซะเลย
อุตส่าห์จัดทัพชุดเต็มสูบ ได้ เนมานย่า วิดิช ผู้กำลังจะจากไปในท้ายซีซั่น กลับมาคุมแนวรับหลังพ้นโทษแบน 3 นัด พร้อมพร้อมส่ง เวย์น รูนี่ย์ ผนึกกำลัง "อาร์วีพี" หวังขยี้ผู้มาเยือนให้กระจุยลุยไปพร้อม ฆวน มาต้า แต่ทุกสายตากลับหยุดอยู่ที่ แอชลี่ย์ ยัง (ลูกรัก)
จิตวิญญาณและความกระหายคือหัวใจแห่งชัยชนะ แต่เริ่มเกมเหมือนแข้ง "ผีแดง" จะยังไม่ฟื้นจากเหตุการณ์ที่ บริทานเนีย (แพ้ สโต๊ค 1-2) เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ จนกว่าที่จะโดน ฟูแล่ม กระซวกนำก่อนถึงจะตื่นจากหลับไหล
ไมเคิ่ล คาร์ริค ฉลองประตูยิงให้ทีมแซง 2-1
เป็นไปตามคาดการณ์ที่ทีมของ เรเน่ มูเลนสตีน อดีตโค้ชคู่ใจของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะมาเน้นเกมรับแบบเต็มสูบ แต่ประสิทธิภาพมาเต็มร้อย โอกาสยิงครั้งแรกเป็นประตู และยิงเข้ากรอบ 3 ครั้งเท่ากับ 2 ประตู
นี่คือเสน่ห์ของฟุตบอลโดยแท้จริง ทีมที่ครอบครองบอลมากถึง 75 % แถมสร้างสรรค์การยิงประตูได้มากถึง 31 ครั้ง ใช่ว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป
เกมบุกเป็นพายุบุแคมของทัพนักเตะพันธุ์ "ปีศาจ" สร้างแรงกดดันให้แข้ง "เจ้าสัวน้อย" งานชุกตลอดหลังถูกเปิดบริสุทธิ์ก่อนในนาที 19 จาก สตีฟ ซิดเวลล์
องค์ประกอบโดยรวมแทบจะสมบูรณ์กับประโยค "คัมแบ็ก" & "พลิกนรก" เมื่อมาได้ 2 ประตูภายในเวลา 2 นาที จาก ฟาน เพอร์ซี่ ยิงประตูที่ 3 ในรอบ 3 นัด บวกกับ ไมเคิ่ล คาร์ริค อีก 1 ดอก นาที 78 และ 80
วินาที เดวิด มอยส์ ฉลองประตูพลิกแซงแบบสุดเหวี่ยง
ผนวกกับการแก้เกมที่เข้าตาและเห็นผล ถอด เฟล็ทเชอร์, ราฟาเอล และ แอชลี่ย์ ยัง ส่ง ยานาไซ, วาเลนเซีย กับ ชิชาริโต้ เหมือนจะได้คะแนนกดไลท์จากสาวก "เร้ด เดวิลส์" มากกว่าเกมที่แล้ว
ประตูตีเสมอของ "อาร์วีพี" เหมือนเป็นการยกยอดเขาทั้งลูกออกจากอก เดวิด มอยส์ ด้วย แสดงอาการโล่งใจแบบเห็นได้ชัด แถมจ้วงหมัดเป็นชุดๆ พร้อมกับแหกปากร้องฉลองอย่างสะใจ ประหนึ่งคว้าพรหมจรรย์มาจากสาวน้อยหน้าใสหัวใจมัธยมได้สำเร็จ ภายหลังได้ประตูพลิกขึ้นนำ
ก็อย่างที่เล่ามา "บุญมีเหมือนกรรมบัง" ประตูช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายของ ด.เบนท์ ทำให้ "โรงละครแห่งความฝัน" กลายเป็นป่าช้าที่แสนเงียบสงัดเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเสียนี่กระไร
ดาร์เรน เบนท์ พุ่งโหม่งตีเสมอช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย
เกมที่สมควรจะเป็นชัยชนะเซ่นให้กับดวงวิญญาณอดีตแข้งรุ่นปู่ผู้เสียชีวิตใน โศกนาฏกรรมที่มิวนิค เมื่อ 6 ก.พ.1958 หรือเมื่อ 56 ปีที่แล้ว กร่อยในบัดดลเมื่อพ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย
พยายามจะไม่โลกสวยหรือทำตัวขวางโลกด้วยการไม่ตำหนิ เดวิด มอยส์ เพราะเคยเปิดประเด็นมามากพอแล้ว ถึงเวลาหรือยังที่นักเตะภายในทีมควรร่วมรับผิดชอบในสิ่งที่เกิด
เป็นความจริงที่ผู้จัดการทีมคือบุคคลแรกที่ทุกคนนึกถึงพร้อมสาดเสียเทเสีย ด้วยถ้อยคำหยาบคายจากแฟนบอลยามทีมพ่ายแพ้ หรือผลงานไม่น่าพอใจ แต่หากมองในเกมนี้นักเตะ แมนฯ ยูฯ มีโอกาสปิดบัญชีหลายครั้งในช่วงท้ายเกม แต่กลับยิงนกตกปลาขาดความเฉียบคมกันไปเสียเอง
จบเกม เรเน่ มูเลนสตีน อดีตคนคุ้นเคย เย้ยหยันแผนการของ เดวิด มอยส์ ไร้ประสิทธิภาพ
บทเรียนบทแล้วบทเล่าพวกเจ้าไม่เคยจดจำ นำมาปฏิบัติใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อทีม เมื่อฆ่าไม่ตาย อริร้ายศัตรูก็พร้อมกลับมาจ้วงแทงได้ทุกเมื่อ
ถึงบัดนี้ การป้องกันแชมป์ลืมไปได้เลย หัวใจตุ๊มๆ ต่อมๆ จดจ้องพื้นที่ ชปล.ชนิดห้ามกระพริบตาแม้แต่วินาทีเดียว