My Liverpool: เด็กหงส์พูดหลังเกมแดงเดือด

My Liverpool: เด็กหงส์พูดหลังเกมแดงเดือด

My Liverpool: เด็กหงส์พูดหลังเกมแดงเดือด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : ชัยชนะของลิเวอร์พูลที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 3-0 นอกจากจะทำให้ลิเวอร์พูลยังคงรักษาสถิติไม่แพ้ใครเลยนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2014 ขณะเดียวกันมันยังทำให้พวกเขาปักหลักมั่นคงกับพื้นที่ 4 อันดับแรกของตารางคะแนนในการจะได้สิทธิ์ไปเล่นในรายการอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า

นอกจากนี้มันยังทำให้ความหวังที่จะลุ้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปีดูเด่นชัดมากขึ้นด้วย

"หงส์แดง"ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างร้อนแรงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากพวกเขามีโปรแกรมต้องบุกไปเยือนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รังของคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยก่อนลงสนามเกมนี้ ลิเวอร์พูล ต้องการชัยชนะจากเกมนี้เป็นอย่างยิ่งสำหรับความหวังในการจะรักษาพื้นที่ฟุตบอลยุโรปรวมไปถึงการลุ้นแชมป์

ขณะที่ทางด้าน"แชมป์เก่า"ยูไนเต็ด นั้น เดวิด มอยส์ และลูกทีมก็หวังจะทำอันดับให้สูงที่สุดเช่นกันหลังจากทีมเริ่มทำได้ดีขึ้นจากเกมก่อนนี้ที่บุกไปเอาชนะเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ถึงฮอว์ธอร์นส์ มาได้ 3-0

11 ตัวจริงในเกมนี้ที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เลือกใช้งานนั้นมีพลิกโผจากเกมก่อนพักเบรกที่บุกไปยำเซาแธมป์ตัน 3-0ไปเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้นโดย ร็อดเจอร์ส เลือกจะส่ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ลงมาทำเกมก่อนและให้ ฟิลิป คูตินโญ่ ลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลังโดยหวังจะใช้ความเร็วของ สเตอร์ลิ่ง เล่นงานแนวรับโดยเฉพาะคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟของเจ้าถิ่นแล้วค่อยใช้การทำเกมและการจ่ายบอลแบบได้เสียของ คูตินโญ่ ลงมาปิดเกมและเมื่อเวลาผ่านไปก็พิสูจน์ว่า ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจได้ไม่พลาดเลยจริงๆ

ลิเวอร์พูล

ซัวเรซ ทำประตูได้ในเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดและทำให้ยอดสะสมประตูในลีกของเขาพุ่งขึ้นไปเป็น 25 ประตูเรียบร้อยแล้ว

สถิติรวมในการเจอกันทุกรายการนั้น ยูไนเต็ด เหนือกว่าและกับการได้เล่นในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แล้วมันทำให้พวกเขาไม่ได้ดูเป็นรองทางด้านลิเวอร์พูลมากนักก่อนที่จะเผชิญหน้ากัน อย่างไรก็ดีหลังจากลงสนามไปดวลกันจริงๆแล้วปรากฏว่าเป็นทาง ลิเวอร์พูล ที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

เกมนี้แนวรุกของลิเวอร์พูลที่มีหลุยส์ ซัวเรซ, ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง สามารถปั่นป่วนแนวรับของ ยูไนเต็ด ได้ตลอดส่วน สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่อาจจะลงมาต่ำเพื่อช่วยเกมรับก็ทำหน้าที่ได้อย่างแข็งแกร่งทั้งการเป็นผู้นำในสนามและ เจอร์ราร์ด ยังทำประตูในเกมนี้ได้ถึง 2 ประตูด้วย

2 ประตูของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด นั้นมาจากการได้ลูกโทษจากผู้ตัดสิน มาร์ค แคล็ตเท่นเบิร์กและอันที่จริงเขาน่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นคนแรกของพรีเมียร์ลีกด้วยซ้ำที่ทำแฮตทริคได้ในเกมๆเดียวแต่จุดโทษลูกที่ 3 ของเจอร์ราร์ด เขาตัดสินใจเปลี่ยนมุมยิงจากที่เคยยิงไปทางขวาและเอาชนะ ดาบิด เด เคอา ได้ทั้งสองครั้ง

ปรากฏว่ากัปตันทีมคนเก่งที่ยังไม่เคยพลาดจุดโทษเลยในฤดูกาลนี้ตัดสินใจเปลี่ยนมุมยิงและปรากฏว่าบอลเจ้ากรรมนั้นกลับพุ่งไปชนเสาอย่างน่าเสียดายทั้งๆที่ เด เคอา เองหลงทางไปแล้ว

พูดถึงจุดโทษที่ แคล็ตเท่นเบิร์ก เป่าให้กับลิเวอร์พูลไปถึง 3 ครั้งในเกมนี้นั่นทำให้ยอดรวมการได้ลูกโทษของ"หงส์แดง"ในซีซั่นนี้เพิ่มขึ้นเป็น 9 ครั้งเข้าให้แล้วซึ่งถือว่าแตกต่างจากฤดูกาล 2012-13 อย่างเห็นได้ชัดเพราะในฤดูกาลก่อนนั้นกว่าที่พวกเขาจะได้จุดโทษครั้งแรกของฤดูกาลก็ต้องรอจนถึงเกมช่วงบ็อกซิ่ง เดย์ เลยทีเดียว

ลิเวอร์พูล นั้นเกมดีกว่าอยู่แล้วเมื่อตอนมี 11 ตัวเท่ากันและยิ่ง ยูไนเต็ด ต้องมาเสีย เนมานย่าวิดิช จากจังหวะที่พยายามเข้าสกัดบอลจาก ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ยิ่งทำให้เกมตกเป็นของลิเวอร์พูลอย่างสิ้นเชิง หลายคนที่ไม่ใช่แต่เฉพาะแฟนบอลของยูไนเต็ดต่างสงสัยว่าการแก้เกมของ เดวิด มอยส์ นั้นทำไมถึงเกิดขึ้นช้า

ลิเวอร์พูล

ถ้าพาทีมคว้าแชมป์ได้ ร็อดเจอร์ส คงจะถูกแฟนบอลจดจำไปตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัยในฐานะผู้ปลดปล่อยวันเวลาแห่งการรอคอย

ทั้งๆที่เสียกองหลังตัวสำคัญไปแต่กว่าที่กุนซือชาวสกอตต์จะปรับเกมรับของตัวเองก็มาเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกมแล้วเพราะ มอยส์ เลือกจะส่งกองหน้าตัวสำรองอย่าง แดนนี่ เวลเบ็ค และมิดฟิลด์ที่โดนวิจารณ์เกี่ยวกับฟอร์มอย่างมากในซีซั่นนี้อย่าง ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ลงไปกู้สถานการณ์ก่อน

ประตูย้ำชัยของลิเวอร์พูลในเกมนี้ได้จาก หลุยส์ ซัวเรซ โดยเป็นจังหวะหลุดการเช็คล้ำหน้าของเจ้าถิ่นเข้าไปยิงด้วยซ้ายผ่าน เด เคอา เข้าไปอย่างเหนือชั้นและทำให้ ซัวเรซ มีลุ้นทั้งการเป็นดาวซัลโวของลีกในฤดูกาลนี้ควบกับการลุ้นรางวัลโกลเด้น ชู หรือ โกลเด้น บูธ เดิม ซึ่งก็คือรางวัลดาวซัลโวของยุโรปนั่นเอง

หากจะเลือกแมน ออฟ เดอะ แมตช์ หรือคนที่เด่นที่สุดจากเกมนี้คงเลือกได้ยากครับแต่กลับกันต้องขอยกเครดิตให้กับผู้เล่นทุกคน,แฟนบอลของลิเวอร์พูล ตลอดจน เบรนแดน ร็อดเจอร์สและสตาฟฟ์โค้ชของเขาที่ช่วยกันทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้สนุกและน่าเกรงขามของคู่ต่อสู้อีกครั้ง

บนชัยชนะของลิเวอร์พูลที่ได้มานั้นพวกเขายิ่งได้ข่าวดีจากการที่ เชลซี ออกไปสะดุดพ่าย แอสตัน วิลล่า ที่วิลล่า ปาร์ค นั่นทำให้ช่องห่างของทั้งสองทีมถูกบีบใกล้เข้ามาและเมื่อมองถึงเกมตกค้างที่เหลืออยู่รวมกับการจะได้เปิดบ้านเจอกับ เชลซี ในช่วงปลายเดือนเมษายนด้วยนั้นทำให้ เชลซี ไม่ได้เหนือกว่า ลิเวอร์พูลแบบยากเกินจะลุ้นแล้ว

โดยทีมที่อันตรายสำหรับการแย่งลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้ดูโมเมนตัมจะกลับไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกครั้งหลังจากทีม"เรือใบสีฟ้า"ไม่พลาดในการบุกไปเชือด ฮัลล์ ซิตี้ ในวันเสาร์ ส่วน อาร์เซน่อล ก็ยังตัดทิ้งไม่ได้เลยหลังจากลูกทีมของอาร์แซน เวนเกอร์ ออกไปเอาชนะคู่ปรับร่วมลอนดอนเหนือด้วยกันอย่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ได้สำเร็จ 1-0

ลิเวอร์พูล

เจอร์ราร์ด หวุดหวิดจะกลายเป็นผู้เล่นคนแรกต่อจาก เดิร์ค เค้าท์ ที่ทำแฮตทริคได้ในการเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เกมต่อไปของลิเวอร์พูลนั้นจะเป็นการบุกไปเยือนมิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม ของคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ที่มีอดีตกองหน้าของยูไนเต็ดอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คุมทีมอยู่ โดยจากสถานการณ์ในเวลานี้ คาร์ดิฟฟ์ เองก็ยังต้องการคะแนนเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ร่วงตกชั้นกลับไปอยู่ในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในระยะเวลาเพียงแค่ฤดูกาลเดียว

ผลงานที่เคยเจอกันเมื่อช่วงต้นฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูล เคยทุบ คาร์ดิฟฟ์ ที่มี มัลกี้ แม็คเคย์ คุมในตอนนั้นไปแบบสบายๆอย่างไรก็ดีสถิติเก่าในการมาเยือนบ้านของ คาร์ดิฟฟ์ ของลิเวอร์พูลก็ไม่ค่อยจะดีนักอย่างไม่น่าเชื่อจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งว่า ร็อดเจอร์ส และลูกทีมจะเดินหน้าทำผลงานที่ดีต่อเนื่องต่อไปได้หรือไม่เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปสองเกมหลังสุดในลีกนั้น ลิเวอร์พูล ทำได้ดีมากๆกับการออกนอกบ้านและบุกเอาชนะทั้ง เซาแธมป์ตัน และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไม่เสียประตู

เกมที่ลิเวอร์พูลจะบุกเยือนมิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม จะเล่นกันทีหลังเกมลอนดอน ดาร์บี้ คู่สำคัญของสัปดาหนี้ระหว่าง เชลซี กับ อาร์เซน่อล ยิ่งหากคู่นี้มีผลออกมาไม่ว่าทางใดก็จะทำให้ลิเวอร์พูลยิ่งเตรียมความพร้อมและสร้างความฮึกเหิมได้มากยิ่งขึ้นโดยหลังเกมที่เยือน คาร์ดิฟฟ์ แล้ว ลิเวอร์พูล จะเล่นเกมกลางสัปดาห์หน้าด้วยการกลับมาปักหลักในแอนฟิลด์รอรับมือ ซันเดอร์แลนด์ ก่อนจะปิดท้ายเดือนมีนาคมด้วยการเล่นในแอนฟิลด์อีกเกมเพื่อรับมือ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

เชื่อว่าจบเดือนมีนาคมนี้แฟนๆของลิเวอร์พูลคงเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วว่าพวกเขาจะยังได้ลุ้นแชมป์อยู่จนถึง 100 เมตรสุดท้ายของการแย่งแชมป์ฤดูกาลนี้หรือไม่ แฟนๆอย่างเราคงต้องส่งกำลังใจกันไปให้เยอะๆแล้วล่ะครับ

มาร์ค สุรเดช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook