ระทึก!ไฟไหม้ร.พ.พระราม2กลางดึกคลอกผู้ป่วยดับ1
เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายใน รพ.พระราม 2 ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง ถูกไฟคลอกเสียชีวิต 1 คน เหตุผูกมือและขาผู้ป่วยโยงไว้กับเตียงเพราะเคยทำร้ายตัวเองมาแล้ว คาด ผู้ป่วยแอบสูบบุหรี่ ขณะสอบปากคำแล้ว 4 ปาก รอผลพิสูจน์
เมื่อเวลา 23.30 น. ตำรวจ สน.ท่าข้าม พร้อมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู และหน่วยบรรเทาสาธารภัย เข้าตรวจสอบภายในโรงพยาบาลพระราม 2 เขตบางขุนเทียน หลังรับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ในห้องพักผู้ป่วยชั้น 4 ห้อง 405 จนทำให้ นายมาโนช เทพสงวน อายุ 42 ปี ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาถูกไฟคลอกเสียชีวิต
ด้าน นายแพทย์พีระ คณานุวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระราม 2 เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบสาเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นที่เตียงผู้ป่วย ซึ่งสามารถดับได้ทันก่อนลุกลามไปยังห้องพักอื่น ๆ แต่ทั้งนี้ไม่ยืนยันว่าไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจากผู้ป่วยก่อเหตุเองหรือไม่
ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตนั้น เข้ารับการรักษาด้วยโรคปอดเรื้อรัง ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยขณะเกิดเหตุอยู่ลำพังเพียงคนเดียวภายในห้อง ทั้งนี้ ที่ต้องผูกมือและขาของผู้ป่วยโยงไว้กับเตียง เนื่องจากเคยทำร้ายตัวเองมาแล้ว เมื่อเข้ารับการรักษาครั้งก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุโรงพยาบาล ได้มีการขนย้ายผู้ป่วยบางส่วนที่รักษาตัวอยู่ที่ชั้น 4 และ 5 ไปที่โรงพยาบาลเพชรเกษม 1 และ 2 รวมถึงปิดพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข เข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
ด้าน ร.ต.ท.เฉลียว วอกลาง ร้อยเวร สน.ท่าข้าม เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ภายในโรงพยาบาลพระราม2 เมื่อวานที่ผ่านมา ว่า ภายหลังแพทย์นิติเวช และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบเหตุ พบว่า ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการโรคปอดเรื้อรัง หรือวัณโรค แพทย์จึงทำการคัดแยกผู้ป่วยออกจากผู้ป่วยปกติ และอยู่ในห้องตามลำพัง เนื่องจากโรคดังกล่าวสามารถติดต่อกันผ่านลมหายใจได้
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากผู้ป่วยมีอาการเครียด และมักทำร้ายตัวเอง แพทย์จึงต้องใช้ผ้าผูกมือและขาของผู้ป่วยโยง
ไว้กับเตียงเพื่อป้องกันการทำร้ายตัวเอง
เบื้องต้น เจ้าหน้าสันนิษฐานว่า ผู้ป่วยแอบลักลอบสูบบุหรี่แล้วเกิดหลับ ทำให้เกิดไฟลุกไหม้จนเป็นเหตุให้เสีย
ชีวิต ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าสอบปากคำแล้ว จำนวน 4 ปาก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสาเหตุนั้น เจ้าหน้าที่จะต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม และอยู่ระหว่างรอ
ผลพิสูจน์จากกองพิสูจน์หลักฐาน และผลทางนิติวิทยาศาสตร์ อีกครั้ง