ศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง ประชัย ของดชำระค่าปรับกว่า7พันล้าน
ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้อง ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จำเลยคดีปั่นหุ้นทีพีไอ หลังร้องขอศาลงดบังคับคดีชำระค่าปรับกว่า 7 พันล้าน ศาลระบุชัดการพิจารณาบังคับคดีเป็นเรื่องของศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำสั่ง แถมสั่งให้นัดมาฟังผลการบังคับคดีทีพีไอ 11 มิ.ย.นี้ ส่วนบริษัท สเติร์น ฯ จำเลยร่วม ศาลจี้ จนท.บังคับคดีเร่งดำรเนินการภายใน 5 วัน
(22ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ ที่ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอโพลีน จำเลยคดีที่ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 50 ให้จำคุกนายประชัย และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) จำเลยที่ 2 และ 4 คนละ 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา ฐานกระทำผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ในการเผยแพร่ข้อมูลนอกเหนือจากที่ได้แจ้งไว้ต่อตลาดหลักทรัพย์ หรือการปั่นหุ้น พร้อมสั่งปรับบริษัททีพีไอ.ฯ และบริษัท สเติร์นฯ จำเลยที่ 1 และ 3 รายละ 6,900,300,000 บาท ร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งระงับการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าคดีจมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา
โดยคำอุทธรณ์ของนายประชัยสรุปว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ และสั่งปรับเป็นจำนวนเงิน 6.9 พันล้านบาทแล้ว จำเลยทั้ง 1 - 4 ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์ด้วยว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัท จำกัด มหาชน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์จำหน่ายปูนซีเมนต์ มีผู้ถือหุ้นมากกว่าหมื่นราย ซึ่งขณะนี้ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ฟื้นฟูกิจการโดยมีภาระหนี้ต้องชำระให้เจ้าหน้าที่สถาบันการเงินเป็นจำนวน 7,000 กว่าล้านบาท และมีพนักงานลูกจ้างอีกกว่า 5,000 คน ดังนั้นหากจำเลยที่ 1 ถูกอายัดทรัพย์ในขณะคดียังไม่ถึงที่สุด จะทำให้เกิดความเสียหายต่อจำเลยที่ 1 ผู้ถือหุ้นและลูกจ้างของจำเลยที่ 1 รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อบังคับจำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับโดยไม่รอให้คดีถึงที่สุดเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 และรัฐธรรมนูญมาตรา 39 , 197 ประกอบกับจำเลยที่ 1 อุทธรณ์เฉพาะในส่วนของค่าปรับ ไม่ได้อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิด ฉะนั้นไม่ว่าจะอุทธรณ์หรือฎีกาอย่างไร จำเลยที่ 1 ก็ยังมีความผิดตามฟ้อง และต้องชำระเงินค่าปรับแน่นอน คดีจึงยังไม่เป็นที่ยุติตามฟ้อง ซึ่งการบังคับคดีตามคำพิพากษาจะกระทำได้ต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นขอศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งแจ้งให้ศาลชั้นต้นงดการไต่สวนสืบหาทรัพย์สิน และงดการบังคับคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์ แล้วเห็นว่า คำร้องของจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการขอให้งดการบังคับคดี ซึ่งเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาสั่ง จำเลยที่ 1 จึงต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาว่าจะงดการบังคับคดีหรือไม่ ศาลอุทธรณ์จึงมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1
ภายหลังอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้วศาลอาญา พิจารณาแล้วเห็นว่า สำหรับการไต่สวนการสืบหาทรัพย์สิน บริษัท ทีพีไอโพลีน ฯจำเลยที่ 1 เพื่อบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับนั้น ศาลได้ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนที่ผ่านมาเพียงพอแล้ว จึงให้ยุติการไต่สวนสืบหาทรัพย์ โดยให้นัดพร้อมเพื่อสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ต่อไปในวันที่ 11 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ส่วน บริษัทสเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) จำเลยที่ 3 เนื่องจากศาลมีคำสั่งให้ออกคำบังคับคดีกับจำเลยที่ 3 แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ศาล ยังไม่ดำเนินการตามคำสั่ง จึงให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยด่วนภายใน 5 วัน