เทพนิยายตราหมี

เทพนิยายตราหมี

เทพนิยายตราหมี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เชื่อว่าหลายคนคงเบื่อแชมป์ลา ลีกา หน้าเดิมๆ และ "ตราหมี" ก็ไม่ทำให้แฟนๆ เฉพาะกิจผิดหวัง พวกเขาเขียนเทพนิยายขึ้นมาอีกเล่มในตลอดฤดูกาลนี้

พยายามที่จะคิดอยู่หลายตลบว่าจะเขียนอะไรถึง แอตเลติโก้ มาดริด ถ้าพวกเขาคว้าแชมป์ได้สำเร็จในซีซั่นนี้ เรื่องการวิเคราะห์ทีม ผ่าทีม หรือผ่าชีวิตกุนซือ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ดูเป็นเรื่องที่เฝือไปแล้ว เนื่องจากด้วยผลงานที่แรงไม่มีตก ทุกคนน่าจะรู้ถึงความแกร่งทั่วแผ่นของอีกหนึ่งทีมจากเมืองหลวงแดนกระทิงดุ

เชื่อว่าหลายคนคงเบื่อแชมป์ลา ลีกา หน้าเดิมๆ ที่สลับกันประสบความสำเร็จระหว่าง บาร์เซโลน่า และเรอัล มาดริด ทำให้หลายเสียงยกมือเชียร์ แอต.มาดริด อยู่เงียบๆ และ "ตราหมี" ก็ไม่ทำให้แฟนๆ เฉพาะกิจผิดหวัง พวกเขาเขียนเทพนิยายขึ้นมาอีกเล่มในตลอดฤดูกาลนี้ เหมือนกับที่หลายๆ ทีมเคยทำ ด้วยการออกสตาร์ทเป็นม้านอกสายตาแต่จบลงอย่างยิ่งใหญ่และสวยงาม

เดนมาร์ก : แชมป์ยูโร 1992


ทัพ "โคนม" สร้าง "เทพนิยายเดนส์" แบบสุดปาฏิหาริย์ตั้งแต่รอบคัดเลือก ความจริงพวกเขาไม่ควรได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายที่ สวีเดน (ซึ่งสมัยนั้นยังขลังมาก เพราะมีแค่ 8 ทีม ชนะได้ 2 คะแนน เสมอได้ 1 คะแนน) แต่เนื่องจากเกิดสงครามคาบสมุทรบอลข่าน ยูโกสลาเวียล่มสลาย ประเทศแตกแยก ทำให้เดนมาร์กได้ผ่านเข้าสู่ทัวร์นาเมนท์แบบงงๆ โดยแกนหลักในยุคนั้นคือพี่น้อง ไบรอัน และ ไมเคิ่ล เลาดรูป ที่น่าสนใจคือมือกาวชั้นตำนานอย่าง ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล

ความเด็ดดวงของเดนมาร์กนตอนนั้นคือการผ่านเสือสิงห์กระทิงแรดในทุกด่าน ยันเสมอ อังกฤษ 0-0 และเอาชนะฝรั่งเศสของ มิเชล พลาตินี่ ก่อนจะผ่านเข้าไปตัดเชือก ชนะจุดโทษ ฮอลแลนด์ แชมป์เก่าที่มี 3 ทหารเสือ มาร์โก แวน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด และรุด กุลลิท ทะลุชิงชนะเลิศกับตัวเต็งอย่าง เยอรมัน ซึ่ง แบร์ตี้ โฟกส์ ยิงอย่างไรก็ไม่ผ่าน ชไมเคิ่ล

ไกเซอร์สเลาเทิร์น : บุนเดสลีกา 1997/98


อ็อตโต้ เรห์ฮาเกล โบกมือลา แวร์เดอร์ เบรเมน เพื่อไปทำงานกับ บาเยิร์น มิวนิค เป็นปีแรก และล้มเหลวจนโดนไล่ออก ทำให้เขาตัดสินใจไปจับงานกับ ไกเซอร์สเลาเทิร์น ทีมตกชั้น เขาพพา "ปิศาจแดงแห่งเยอรมัน" เลื่อนชั้นกลับมาในปีเดียว และทะยานคว้าแชมป์ลีกทันทีแบบที่ทุกคนอึ้งไปเลย เนื่องด้วยความกดดันน้อยนิด และความคาดหวังของบอร์ดบริหารก็ต่ำเตี้ย แต่ความหลังฝังใจคงทำให้ เรห์ฮาเกล อยากพิสูจน์ตัวเอง และเขาก็ทำได้สำเร็จ เขาคือหนึ่งในกุนซือตาถึงที่ดึงเอา มิชาเอล บัลลัค วัยละอ่อนมาปลุกปั้น

เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า : ลา ลีกา 2000


นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมาเมื่อปี 1906 รวม 94 ปี ลา กอรุนญ่า ไม่เคยเป็นแชมป์ลีกเลย แม้จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว ด้วยการจบเป็นอันดับ 12 ในตารางคะแนนเมื่อปี 1997/98 และขยับขึ้นอีก 6 อันดับในปีถัดไป แต่ก็ไม่มีใครคิดว่านี่คือหนึ่งในทีมท้าทายแชมป์ ด้วยขนาดทีมที่มาจากเมืองเล็กๆ ใครจะไปเชื่อว่ายุคทองจะมาเยือน ริอาซอร์ สเตเดี้ยม ในยุคของ ฆาเบียร์ อิรูเรต้า ซึ่งดึงเอา รอย มาคาย, เปาเลต้า และเมาโร ซิลบา มาสร้างตำนาน ไม่ใช่แค่ในลีก แต่ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ผลงานของ "ซูเปอร์เดปอร์" ก็น่าทึ่งมาก น่าเสียดายที่ทุกอย่างจางหายไปตามกาลเวลา และพวกเขาก็ตกชั้นแบบสุดเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะกลับมาสู่ลีกสูงสุดแล้ว

เอฟซี ปอร์โต้ : ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2004


น่าจะไม่ต้องสาธยายอะไรมาก เพราะนี่คือผลงานชิ้นโบแดงของชายที่ชื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือค่าตัวแพงที่สุดในโลก ทุกคนรู้ดีว่า ปอร์โต้ ยิ่งใหญ่ในโปรตุเกส และชิงดีชิงเด่นกับ เบนฟิก้า มาตลอด แต่ในระดับยุโรปเหมือนว่าพวกเขาจะยังพิสูจน์ตัวเองไม่ค่อยได้ แต่โชคชะตาก็ยังพอเข้าข้าง

มูรินโญ่ พาลูกทีมจบเป็นที่ 2 ของกลุ่ม ตามหลัง เรอัล มาดริด แม้จะต้องเจอบิ๊กเบิ้มอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบ 16 ทีม แต่พวกเขาก็ผ่านไปได้ จากนั้นก็เอาชนะ โอลิมปิก ลียง และเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า ซึ่งแม้หลายคนจะแอบสงสัยในชื่อชั้นว่าไม่ใช่ของแข็ง แต่ยุคนั้นทุกทีมที่ว่ามา เป็นสุดยอดทีมของแต่ละประเทศ รอบชิงชนะเลิศซีซั่นนั้น มีคนยกมือว่ามันช่างจืดชืด ปอร์โต้ ชิงกับ โมนาโก ไม่มีชื่อยักษ์จากแดนกระทิงดุหรือแดนผู้ดีหลุดเข้ามา และ "ดราเกา" ก็ปิดเกมแบบสุดหรู 3-0

กรีซ : ยูโร 2004


ยุค 2000 เป็นต้นมา ฟุตบอลสมัยใหม่เน้นเกมรุก สนุก เอ็นเตอร์เทน แต่ ปอร์โต้ และกรีซ น่าจะเป็นคำตอบได้ชัดเจนว่าเกมรับสำคัญแค่ไหน กรีซ ได้สร้าง "เทพนิยาย" ของจริงให้สมฉายาของทีมในปีนี้ อ็อตโต้ เรห์ฮาเกล ซึ่งประสบความสำเร็จกับ ไกเซอร์สเลาเทิร์น เปลี่ยนบรรยากาศมาจับงานในทีมชาติ ใช้เวลาฟอร์มทีม 3 ปี แม้จะไม่ได้วางทีมแบบสนุกหวือหวาตามสไตล์บอลเยอรมัน เพราะทรัพยากรไม่เอื้ออำนวย แต่กรีซ ก็เป็นแชมป์ได้แม้โดนทุกคนบ่นว่าฝืดๆ อืดๆ และรากฐานที่เขาวางเอาไว้ก็กลายเป็นสไตล์ของกรีซมาจนตอนนี้ เน้นเกมรับ เหนียวแน่น ไม่นะก็ขอไม่แพ้

ช็อกครั้งที่ 1 ของกรีซ คือการเปิดสนามด้วยชัยชนะเหนือโปรตุเกสเจ้าภาพ ยันเสมอสเปน และแพ้รัสเซีย ทุกคนมองแต่แรกว่า กรีซคือหมูประจำกลุ่ม แต่พวกเขายังเข้ารอบด้วยผลต่างประตูได้เสีย ยิง 4 เสีย 4 ส่วน สเปน ที่มีคะแนนเท่ากัน ยิง 2 เสีย 2 ต่อด้วย ช็อกที่ 2 กรีซ เอาชนะฝรั่งเศสแชมป์เก่าที่มีสตาร์ดังคับคั่ง แบบหักปากกาเซียน ผ่านเข้าตัดเชือกกับสาธารณรัฐเช็ก และกลับมาย้ำแค้น โปรตุเกส ในนัดชิงชนะเลิศ ด้วยการยิงประตูชัยในช่วงต่อเวลานาทีที่ 105 เล่นเอาเจ้าภาพกร่อยไปเลย

ว่ากันตามตรง ความกร่อยสุดๆ ในการฉลองแชมป์ยูโร ขอ กรีซ เป็นเพราะเจ้าภาพไม่ค่อยแฮปปี้ ถึงจะมีพิธีแต่สาวก "ฝอยทอง" เซ็งทั้งแถบ คงคล้ายกับที่วันนี้อุลตร้า "ตราหมี" แค่หยิบมือทำให้บรรยากาศใน คัมป์ นู ไม่อลังการเท่าที่ควร แถมยังอยู่ไกลบนยอดดอยโน่น เสมือนโดนเจ้าบ้านกลั่นแกล้ง   

ไม่ รู้เหมือนกันว่า นี่จะเป็นเพียงหน้าแรกของ แอต.มาดริด หรือเป็นเพียงหน้าเดียวที่พวกเขาจะได้บันทึกประวัติศาสตร์ไว้ เนื่องจากฤดูกาลนี้ยังไม่สมบูรณ์ดีนัก เพราะยังเหลือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ถ้า แอต.มาดริด เถลิง ดับเบิ้ลแชมป์ แฟนลูกหนังคงมีตำนานเทพนิยายให้ได้อ่านกันอีกเรื่อง

 

เนซึมิ หอยทะเลคุง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook