ประยุทธ์สั่งจัดการปลุกระดม-กวาดจับอาวุธสงคราม ลั่นกฎอัยการศึกไม่ขัด รธน.
วันที่ 22 พฤษภาคม ที่ศูนย์ประสานงานสื่อมวลชน กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.)ห้องประชุมกำลังเอก สนามกีฬากองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก พ.อ.วีระชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกกองทัพบก ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุม กอ.รส.ในช่วงเช้าที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ ผอ.รส. เป็นประธาน ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) พร้อมนำอาวุธสงครามที่ได้ทำการจับกุม 5 คดีแบ่งเป็นก่อนประกาศกฎอัยการศึก1 คดีที่จังหวัดนครนายก และ หลังประกาศกฎอัยการศึก4คดี มาแสดงพร้อมการแถลงข่าว
พ.อ.วินธัย กล่าวได้ว่า ปัญหาของการตรวจจับอาวุธสงครามนั้นเป็นปัญหาหลักของความไม่สงบที่เกิดขึ้นในสังคม และเป็นนโยบายเร่งด่วนของ กอ.รส. ที่จะดำเนินการเด็ดขาด จากคำสั่งของ กอ.รส.ระบุชัดเจนว่า อาวุธสงครามสามารถพกพาได้เฉพาะเจ้าพนักงานทหาร และเจ้าพนักงานตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ กรณีของเจ้าพนักงานตำรวจนั้นจะใช้ตำรวจตระเวนชานแดน (ตชด.) ที่สนับสนุนกองกำลังป้องกันชายแดน เป็นกำลังที่สนับสนุนกองอำนวยรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) เพราะฉะนั้นในส่วนอื่นๆจึงไม่สามารถอนุญาตให้พกพาอาวุธสงครามได้ ขณะนี้ได้มีการจับกุมผู้พกอาอาวุธสงครามได้ทั้งหมด 4 คดี มีอยู่ 1 คดีที่ถูกจับกุมได้ก่อนประกาศกฎอัยการศึก ดำเนินการจับกุมได้ที่จังหวัดนครนายก ขณะนี้อยู่ในกระบวนการหาตัวผู้กระทำผิด
คดีที่ 2 เป็นคดีที่ผู้ต้องสงสัยถูกจับได้ที่เขตทวีพัฒนา จังหวัดกรุงเทพมหานคร อันเป็นบริเวณใกล้เคียงพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. พบอาวุธสงครามปืนเล็กยาว แบบAK 47 จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุน จำนวน 30 นัด คดีที่ 3 เป็นการตรวจจับได้ที่บ้าน ในจังหวัดลพบุรี โดยพบของกลางเป็นจำนวนมาก รวมถึงพบวัตถุระเบิดด้วย คดีที่ 4 ได้จับกุมได้ที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยตรวจพบเสื้อเกราะ และหมวกเคฟร่า คดีที่ 5 ได้ตรวจพบอาวุธสงคราม และวัตถุระเบิดร้ายแรงจำนวนมากที่จ.สมุทรสาคร ทั้งนี้ขั้นตอนการสอบสวนจะ เน้นขั้นตอนการสอบสวนและขยายผล แสดงให้เห็นว่า ทหาร และตำรวจเอาจริงในเรื่องการปราบปราม
ผบ.ทบ.ได้เน้นย้ำกับ กองกำลัง กอ.รส. ทั้ง4 กองทัพภาคว่า ต้องทำให้เกิดความสงบในพื้นที่ ไม่มีการทำผิดกฎหมาย รวมทั้ง กวาดล้างอาวุธสงคราม ทำความเข้าใจกับประชาชน และขอร้องให้ทุกฝ่ายอย่าปลุกระดม งดเว้นการรวมพลัง และเคลื่อนย้ายคนไปที่ต่างๆ รวมถึงขอความร่วมมือกับประชาชนให้ระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นให้ข้อมูลข่าวสารเชิงปลุกระดม ชี้นำสังคมให้เกิดความสับสนแตกแยก ซึ่งขัดต่อแนวทางในการรักษาความสงบเรียบร้อยของ กอ.รส. รวมถึงประกาศต่างๆ ที่ออกไปก่อนหน้านี้ หากยังมีการกระทำที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง เจ้าหน้าที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย
พ.อ.วินธัย ยังกล่าวถึงกรณีที่มีความคาดเคลื่อน และความเข้าใจผิดต่อการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ว่า พ.ร.บ.กฎอัยการศึกได้ถูกประกาศไปวันที่ 20 พฤษภาคม เวลา 03.00 น. ซึ่งทาง พล.อ.ประยุทธ์ มีกำลังทหารในการบังคับบัญชาเกินกว่า 1 กองพัน และมีอำนาจตามขอบเขตความรับผิดชอบทั้ง 4 กองทัพภาค จึงถือว่ามีเขตอำนาจคลอบคลุมทั่วราชอาณาจักร
เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มจะเกิดภาวการณ์จลาจลและความไม่เรียบร้อยในหลายพื้นที่อันจะกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ดังนั้น ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีอำนาจในการประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และเมื่อได้ประกาศใช้แล้วทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารก็จะมีผลบังคับใช้กฎหมายนี้ทันที โดยที่ได้รายงานให้ทางรัฐบาล และผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ โดยที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจึงมีอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก โดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการ
ส่วนกรณีรัฐธรรมนูญ มาตรา 188 วรรคสองที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นั้น ขอชี้แจงว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก เฉพาะแห่งเป็นการเร่งด่วน ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารย่อมกระทำได้ตามกฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ซึ่งแสดงให้แห็นว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ สำหรับรายละเอียดในมาตรา 2 ของ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ซึ่งเป็นสาระสำคัญส่วนหนึ่ง ว่า
เมื่อมีเหตุจำเป็นที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยให้ปราศจากภัยที่มาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักร จะได้มีพระบรมราชโองการให้ใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกทุกมาตรา หรือแต่บางมาตรา หรือใช้ข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งของมาตรา ตลอดจนเงื่อนไขของ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก นั้นที่บังคับใช้ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักร หรือตลอดทั่วราชอาณาจักร และถ้าได้ประกาศใช้เมื่อใด และ ณ ที่ใดแล้ว บรรดาข้อความ หรือพ.ร.บ.ใด กฎหมายใดที่ขัดกับ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ที่ให้บังคับต้องระงับ และใช้บทบัญญัติของ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกแทน
สำหรับมาตรา 4 เมื่อมีสงคราม หรือจลาจล ณ แห่งใด ให้ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่นั้น ที่อยู่ใต้บังคับไม่น้อยกว่า 1 กองพัน หรือ เป็นเป็นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใดๆ ของทหารมีอำนาจประกาศใช้พ.ร.บ.กฎอัยการศึก เฉพาะในเขตหน้าที่ของกองทหารนั้นได้ แต่ต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบ โดยเร็วที่สุด