แผนเสรีไทย เวอร์ชั่น จารุพงศ์ โลกล้อมไทย ดิสเครดิต คสช.
อาจ เป็นเพราะในวัยเด็กเขารับรู้ว่าผู้เป็นพ่อเคยเข้าร่วมขบวนการใต้ดินกับ "ปรีดี พนมยงค์" เป็นเสรีไทยสายอังกฤษสังกัดหน่วย 136 กองทัพที่ 14 กองทัพบกอังกฤษ ในปี 2448
อาจเป็นเพราะในวัยหนุ่มตัวเขาเติบโตมาใน ครอบครัวนักการเมือง ที่พ่อของเขาเป็น ส.ส.หลายสมัย แต่ต้องสะดุดหยุดลงในยุคเผด็จการทหารครองอำนาจ ตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องถึง จอมพลถนอม กิตติขจร
อาจเป็นเพราะในวัยผมเปลี่ยนสีเขา ได้ร่วมเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 41 ที่อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า วปรอ.4111 เคียงข้างนายพลชื่อดังมากมาย อาทิ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงาน คมช. ทำให้รู้จัก รู้นิสัยใจคอของบรรดาแม่ทัพนายกองเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ พล.อ.อ.ชลิต รู้จักถึงขั้นกินข้าว-เดินป่าด้วยกัน
หลังการรัฐประหารเขาได้รับ โทรศัพท์เทียบเชิญจากขุนทหารที่ร่วมก่อการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 ให้มาร่วมมือเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" อดีต รมว.มหาดไทย และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธคำชวนดังกล่าว โดยบอกว่า "มึงอย่ามาชวนกูเลยนะ"
การ ปฏิเสธคำเชิญของขุนทหาร ทำให้ชีวิตเขาต้องพลิกมาอยู่ขั้วข้างตรงข้ามกับคณะรัฐประหาร "เพราะผมไม่ไปกับเขา ผมถึงต้องมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ รมว.มหาดไทยนี่ไง"
แต่บัดนี้ชีวิต "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" ได้พลิกอีกตลบจากที่เคยสู้บนดิน เมื่อเขาตัดสินใจสั่งหันหัวขบวนรถระหว่างทาง จ.นครราชสีมา มุ่งหน้าสู่ประเทศลาว หนีการไล่ล่า คสช. หลบไปสู้ใต้ดินภายใต้ขบวนการ "องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย" ที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษ "The Organisation of Free Thais for Human Rights and Democracy"
โดยเขารับตำแหน่งเลขาธิการขององค์กร ถือธงนำต่อสู้ร่วมกับแกนนำที่เปิดหน้าแล้วอีก 2 หนึ่ง คือ "จักรภพ เพ็ญแข" อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถูกออกหมายจับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากกรณีการปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในหัวข้อเรื่อง "ระบบอุปถัมภ์ ในฐานะที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย" เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (เอฟซีซีที)
และหนึ่งคือ "สุนัย จุลพงศธร" อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยเป็นประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การต่าง ประเทศ ในสภายุคเพื่อไทย โดยผลงาน กมธ.ยุค "สุนัย จุลพงศธร" คือการนำเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 90 กว่าศพไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ ร่วมกับกลุ่ม นปช. นอกจากนี้ ยังผลักดันให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงสัตยาบันรับขอบเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อเข้ามาตรวจสอบกรณีปี 2553 ด้วย
ตามแผนที่ "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" และพวกวางไว้ พกสถานะความเป็นอดีตรัฐมนตรี และ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง เดินสายไปยังประเทศประชาธิปไตย พุ่งตรงไปที่ประเทศที่ต่อต้านการรัฐประหาร เพื่อสร้างความชอบธรรมในการก่อตั้งองค์กร
คู่ขนานกับการโจมตี คสช.ผ่านสังคมออนไลน์ เช่น Facebook และเว็บไซต์ Youtube
"ผมกับเพื่อนพ้องคนไทยที่ได้จัดตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาเพื่อให้มีสถานภาพเป็นที่ ยอมรับของนานาอารยประเทศ จากนั้นก็จะไปพบกับผู้นำประเทศต่าง ๆ ตามลำดับไป เช่น สหประชาชาติ องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อจะบอกเขาว่าวันนี้ได้เกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย และขอร้องให้เขาช่วยกดดัน พูดคุยกับคณะ คสช. เหมือนกับให้โลกล้อมประเทศไทยนั่นเอง ไม่ต้องใช้กำลังอาวุธ"
ขณะ เดียวกัน "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" และพวก ยังมีทีมงานในเมืองไทยที่ฝังอยู่ในแวดวงข้าราชการ คอยป้อนข้อมูลลับ ๆ ของ คสช.ไปให้เป็นแบ็กอัพในการต่อสู้ โดยใช้ช่องทางการสื่อสารระหว่างกันผ่านโปรแกรมสื่อสารที่ คสช.มิอาจไปปิดกั้นการเข้าถึงได้ ทำให้ท่าทีของ คสช.ในตอนแรก ที่มีต่อองค์กรเสรีไทยดังกล่าว ว่าเป็นแค่การปั่นกระแสในโลกโซเชียลมีเดียเท่านั้น ดังที่ "พ.อ.วินธัย สุวารี" รองโฆษกกองทัพบกระบุ
"สำหรับการเคลื่อนไหวใด ๆ ในลักษณะยุยงปลุกปั่น ให้คนกระด้างกระเดื่องแล้วไปกระทำในต่างประเทศ ถือว่ามีข้อจำกัดในตัว เพราะในหลาย ๆ ประเทศ ส่วนใหญ่จะไม่ยอมให้ใคร มาเคลื่อนไหวแบบนี้ในประเทศตนเองเช่นกัน มิฉะนั้นอาจถูกมองเป็นเรื่องการแทรกแซงภายในได้ ซึ่งถือว่าผิดมารยาทที่สำคัญยังเชื่อว่าผู้บริโภคข่าวสารส่วนใหญ่มี วิจารณญาณพอสามารถแยกแยะได้ และคงไม่ได้ให้ความสำคัญหรือเชื่อถือในทุก ๆ ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ โดยเฉพาะผ่านทางโซเชียลมีเดีย จึงไม่อยากให้มีการขยายผลสร้างกระแสกันไปจนเกินเหตุ"
แต่ยิ่งนานวัน ยิ่งปรากฏความเคลื่อนไหวขององค์กรเสรีไทยมากขึ้น หากปล่อยไว้อาจมิใช่แค่สร้างกระแสอีกต่อไป หากนำไปถึงการบ่อนทำลายความมั่นคง คสช.ได้ในอนาคตอันใกล้
จึงเริ่ม เห็นความเคลื่อนไหวของเครือข่าย คสช. พยายามตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพื่อตอนเครือข่ายดังกล่าว เช่น กรณีศาลทหารจังหวัดสระบุรีออกหมายจับ "จักรภพ เพ็ญแข"กับพวกรวม 8 คนข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ที่ใช้เฉพาะในราชการสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบ ครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย
พร้อมกับประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอตัว "จักรภพ เพ็ญแข" ซึ่งกบดานอยู่ในประเทศฮ่องกง มาดำเนินคดีในประเทศไทย ในฐานะเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
สอดคล้องกับ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" หัวหน้า คสช.ที่เอ่ยปากเตือนถึง "จักรภพ เพ็ญแข" และ "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" ว่า "คดีตัวอย่างเช่น ท่านจารุพงศ์ ท่านจักรภพอะไรเหล่านี้ ซึ่งมีคดีอยู่มากมาย หลายคดีที่เกี่ยวข้องกับท่าน และผมเรียนว่า ให้กลับมาเสียเถอะ กลับ มาเราจะดูแลให้เกิดความยุติธรรม ความชอบธรรมที่ท่านต้องการ ในวันนี้ถ้าท่านยังต่อสู้อยู่แบบนี้ ผมว่าคดีท่านจะมากขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ เกี่ยวข้องกับเรื่องของอาวุธสงคราม เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายหมิ่นอะไรมากมายนะครับ เดี๋ยวท่านจะเข้าสู่การดำเนินคดีต่อไป เพราะฉะนั้นอย่าไปให้คนเหล่านี้เป็นคนชี้นำประเทศไทยโดยเด็ดขาด ไม่มีเครดิตอยู่แล้ว"