เอ๋ อัจฉรา เปิดใจวินาทีเฉียดตาย หัวใจหยุดเต้น
เอ๋ อัจฉรา หากใครยังจำนางเอก "เอ๋ อัจฉรา ทองเทพ" จากละครพื้นบ้านปลาบู่ทองเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ทั้งยังพ่วงด้วยตำแหน่งอดีตรองอันดับ 1 มิสทีนไทยแลนด์ พ.ศ.2535 อีก ซึ่งดูเหมือนว่าช่วงหลังที่ผ่านมาจะห่างหายจากวงการออกไปนานพอสมควร แต่ล่าสุดก็ได้มีข่าวออกมาว่าเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน เวลา 03:00 น. เจ้าตัวเกิดอาการเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน เฉียดตาย แต่โชคยังดีที่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ จนแพทย์ช่วยชีวิตไว้ทัน ซึ่งหากช้ากว่านี้แค่ 15 - 20 นาที หมดหวังรอดแน่ พอมีโอกาสได้เจอคุณเอ๋จึงได้สอบถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น งานนี้เจ้าตัวจึงได้ออกมาเปิดใจกับสื่อเป็นครั้งแรกถึงวินาทีเฉียดตายที่ว่ามาทั้งหมดนี้ว่า
อาการเกิดขึ้นยังไรบ้าง ?
"เคสหัวใจวายล่าสุดไม่มีอะไรเตือนเลย ใช้ชีวิตปกติมาก ไม่รุ้เหมือนกันว่าเกิดได้ไง ตอนตี4หายใจไม่ออก เลยสะดุ้งตื่น และดิ้นเพื่อพยายามสู้กับมันตลอด ขาดอากาศ3.6นาที ตอนแรกคุณหมอบอกคุณแม่ไว้ว่าถ้าฟื้นได้ก็ทำใจหน่อยนะ อาจเป๋นเจ้าหญิงนิทรา สุดท้ายตอนนี้ไม่เป็นเพราะคุณหมอเก่งมาก เขาคอยปั้มหัวใจและฉีดยากระตุ้นตลอด"
อาการหัวใจวายที่ต้องฉีดบอลลูนมีผลข้างเคียงอะไรไหม ?
"เขาฉีดสีก่อน แล้วเข้าใจว่ามันตีบ พอมันตีบปุ๊บเขาก็รีบผ่าแล้วใส่ท่อเข้าไปที่หัวใจ แล้วฝังขดลวดเอาไว้เลย เพื่อให้เส้นเลือดได้ขยาย" ตอนนี้ต้องไปเช็คบ้างไหม ? "ไปค่ะ วันเว้นวันต้องไปเช็ค ชีวิตเปลี่ยนไปเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน การเดิน ห้ามทำอะไรหนักๆ เบาๆเลย กลัวไปเลย"
ค่าใช้จ่ายตอนนี้เยอะขนาดไหน ?
"ก็เยอะนะคะ สำหรับ3โรคที่เป็น ก็เป็นโรค SLE โรคพุ่มพวงมา11 ปีแล้ว และปีที่แล้วก็เจอมะเร็งเม็ดเลือดขาวแต่ระยะสอง และก็มาเป็นโรคหัวใจวาย เดือนนึงตกเดือนล่ะแสนนิดๆ แสนต้นๆค่ะ"
ค่าใช้เยอะขนาดนี้เคยคิดที่ลองขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิ หรือคนในวงการบ้างหรือเปล่า ?
"ตอนนี้ยังค่ะ เพราะเราคิดว่าเรายังพอช่วยตัวเองได้ และยังมีนักแสดงท่านอื่นที่เป็นมากกว่าเราและเดือดร้อนกว่าต้องการความช่วยเหลือมากกว่าเราค่ะ"
เป็นมะเร็งได้ใช้ครีโมบ้างไหม ?
"มะเร็งเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ทำให้ทุเลาลงได้ ก็เคยลองใช้ครีโมแล้วค่ะ แต่ว่าแพ้สารเคมี คุณหมอเลยให้เป็นยากินแทน"
เคยลองรักษาด้วยวิธีธรรมชาติหรือยัง ?
"ทุกวันนี้ก็ใช้ธรรมะบำบัด โดยการอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับเรื่องราวที่เป็นความจริง ซึ่งครั้งนึงเคยท้อว่า อะไรๆก็เกิดกับฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันอะไรกันนักหนา กรรมอะไรกันนักหนา ไม่ได้ทำชั่ว ไม่เคยทำร้ายใครนะ แต่มาวันนี้คือเข้าใจทุกอย่างว่าถ้ามีคำว่า ทำไม เมื่อไหร่ นั่นแสดงว่าเราทำร้ายตัวเอง"
ได้เข้าวัดฟังธรรม นั่งสมาธิด้วยไหม ?
"มีค่ะมี พอช่วงไหนว่างก็จะพาลูกสาวไปด้วย ไปปฏิบัติธรรม ไปยอมรับตัวเอง ไปปลงให้ได้ ยอมรับความจริงให้ได้เท่านั้นเอง"
แล้วกับโรคSLEนี้ยังต้องได้รับการรักษาต่ออีกหรือเปล่า ?
"ยังต้องรักษาค่ะ ยังใช้สเตรียรอยในการรักษาอยู่"
มีผลต่อการใช้ชีวืตประจำวันขนาดไหน ?
"มีนะ ห้ามโดดแดด โดนฝุ่น หรือโดนลมอะไรไม่ได้เลยค่ะ ใช้ชีวิตลำบากมาก แต่ก็ทำใจได้แล้ว ใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติ"
ตอนนี้ยังมีอาการเจ็บปวดอยู่หรือเปล่า ?
"มีเวลาก้ม เวลาจะนอน จะลุก เวลาที่เราต้องเกร็งหน้าอก ก็ยังมีเสียวๆอยู่บ้าง"
มีโอกาสที่หัวใจจะวายซ้ำไหม ?
"สามารถตีบได้อีก เพราะเส้นเลือดเรามี3เส้น บอลลูนไป1 ก็เหลืออีก2 เส้นเดิมก็สามารถตีบได้อีก และสามารถหัวใจวายได้ตลอดเวลา"
แล้วอวัยวะส่วนอื่นๆในร่างกายยังทำงานได้ปกติไหม ?
"ตอนนี้ตัดม้ามไปแล้ว เนื่องจากช่วงนึงSLEกำเริบแล้วไปเกาะม้าม ตัดไส้ไปเมตรยี่สิบ เรากินสเตรียรอยเยอะ พอไม่มีม้ามที่เป็นตัวกองเชื้อโรค ตับเลยทำงานหนัก ก็ต้องเจาะตับเพราะตับบวม ก่อนหน้านั้นปีกว่าๆก็เส้นเลือดในสมองตีบ ก็เจาะสมอง ผ่าสมองไปเส้นนึง"
อะไรที่ทำให้ต่อสู้จนสุขภาพจิตดีได้ขนาดนี้ ?
"อยู่กับความจริงค่ะ"
เคยถอดใจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายบ้างหรือเปล่า ?
"ไม่เคยคิดนะ ไม่เคย แต่หยุดรักษามีเคยคิดเหมือนกัน เพราะค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนสูง บางทีเราสงสารครอบครัว สงสารแม่ค่ะ ยิ่งเวลาเรารู้สึกปวด ได้แต่คิดว่าหลับไปเลยเถอะ ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกแล้ว เหนื่อยแล้ว"
อะไรคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้กลับมาสู้ต่อ ?
"เพื่อนๆ ครอบครัว และก็ลูกค่ะ"
การทำงานทุกวันนี้ลดลงไหม ?
"ตอนนี้ปกติแล้วนะ ชินแล้วที่ออกไปไหนต้องคอยระวัง แต่ก็พยายามใช้ชีวิตให้ปกติ พยายามเข้าใจเขา พยายามบอกเขาว่า ฉันรู้ว่าคุณต้องอาศัยฉัน ถ้าอยากโต อยากมีชีวิตอยู่ ก็อย่าทำร้ายฉันนะ"
พอทราบสาเหตุแท้จริงที่โรคมารุมเร้าขนาดนี้บ้างหรือเปล่า ?
"อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยรุ่น สิบกว่าปีที่แล้ว ที่ดังใหม่ๆ ช่วงนั้นใชชีวิตเปลืองมาก นอนดึก เที่ยว กินเหล้า ยาเสพติดทุกอย่างอัจฉราลองหมด นี่คือเรื่องจริงที่อยากเตือนน้องๆว่า พอเถอะนะอย่าทำตัวให้มันขนาดนั้น แล้วพอเรานอนไม่เป็นเวลาก็ยิ่งไปกันใหญ่ ใช้ร่างกายเปลืองมากก็เลยต้องเป็นแบบนี้"
ตอนนี้สามารถรับงานในวงการได้ไหม ?
"ก็เริ่มกลับมารับอีกครั้ง ตอนนี้มีละครของอาเปี๊ยก มีหนังที่พึ่งไปคุยมา เรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่โต"
อะไรที่คิดว่ายังไหวกับการปรับสภาพที่ต้องรับงานละครถ่ายตอนดึกๆ ?
"พี่รักการแสดงนะ (ยิ้ม) พี่รักนะ แต่ร่างกายพี่มันไม่อำนวยเท่านั้นเอง ไม่กลัวร่างกายจะทรุดหรอกแต่อะไรที่เราคิดว่าแน่นอนคงไม่แน่นอนหรอกเนอะ แต่เราก็พยายามคิดบวก ขอแค่เราดูแลตัวเราเองอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ก็พอ"
เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าจริงๆแล้วความตายอยู่แต่เอื้อม ?
"เมื่อก่อนรับไม่ได้นะ เพราะไหนจะแม่ ไหนจะลูก ถ้าตายไปแล้วจะอยู่ยังไง แต่ ณ วันนี้ถ้าคนเราจะต้องตายมันก็คือตายอ่ะ พี่คิดว่าคนที่ตายคือคนที่หมดกรรม ไม่ต้องมีภาระผูกพันธ์ ไม่ต้องห่วงเลยว่าคนข้างหลังจะแบ่งทรัพย์สินกันยังไง ตอนนี้ก็ปลงมากขึ้น แต่ไม่เคยคิดว่าต้องถึงขนาดไปบวช เพราะเรายังมีกิเลส ยังห่วงและอยากเห็นความสำเร็จของลูกอยู่"