เปิดใจสาว ป.โท ผู้เสียหายคดีข่มขืนบนรถไฟ
สาวปริญญาโท ผู้เสียหายคดีข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน เตรียมบินกลับไทยกลางเดือนนี้ เตรียมเข้าพบ คสช. กับผู้ว่าการรถไฟฯ เพื่อขอความเป็นธรรมและเร่งรัดการจ่ายเงินเยียวยาหลังถูกการรถไฟฯ ยื้อมานาน ระบุไม่เห็นด้วยให้เพิ่มโทษประหารชีวิตในคดีข่มขืน เพราะคนกระทำมักขาดสติ ไม่คำนึงถึงโทษที่จะได้รับอยู่แล้ว แนะควรเร่งปรับปรุงระบบป้องกันและคุ้มครองความปลอดภัยของสตรี
นางสาวขวัญ (นามสมมุติ) สาวปริญญาโท ผู้เสียหายที่ถูกลูกจ้างการรถไฟฯ ข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน ให้สัมภาษณ์พิเศษสำนักข่าวไทยว่า กลางเดือนนี้จะเดินทางกลับมาประเทศไทย โดยตั้งใจว่าจะขอพบและยื่นหนังสือกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้ช่วยเร่งรัดการชดใช้ค่าเสียหายในคดีแพ่งของการรถไฟฯ กับจำเลย ซึ่งเดิมได้ยื่นฟ้องไป 18 ล้านบาท โดยศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ได้พิพากษาให้การรถไฟฯ และจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดแก่ตนเป็นจำนวน 3,077,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง คือวันที่ 16 กรกฎาคม 2545 แต่การรถไฟฯ ได้ยื่นฎีกาขอทุเลาคดี ทำให้การเยียวยาชดเชยล่าช้าออกไป
นอกจากนี้จะไปขอบคุณเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อนหญิง ที่ปัจจุบันแยกออกมาเป็นมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ที่คอยช่วยเหลือตนมาตั้งแต่เกิดเรื่อง รวมทั้งจัดหาทนายความในส่วนคดีอาญาให้ และสภาทนายความที่จัดหาทนายความส่วนคดีแพ่งให้
"จะไปยื่นหนังสือถึง คสช. และขอพบผู้ว่าการรถไฟฯ เพราะ 13 ปีแล้วคดีแพ่งยังไม่จบ อยากให้จบเร็วๆ เพราะไม่อยากจมกับอดีตอีก ก่อนหน้านี้เรียกร้องหลายอย่าง ค่าชดเชยและความปลอดภัย แต่ก็เงียบหาย แล้วก็มาเกิดเหตุกับน้องแก้มซึ่งร้ายแรงกว่า อยากให้จบแค่นี้ และไม่อยากให้มีใครต้องโดนแบบตนหรือน้องแก้มอีก ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นเชื่อว่าตนหาเงินได้มากกว่านี้ อยากบอกว่าเงินกี่สิบล้านก็ชดเชยไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองเสียไป เพียงแต่เงินตรงนี้อาจจะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ลดภาวะเครียดในการดำรงชีวิต และมีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไปได้"
ส่วนข้อเสนอให้เพิ่มโทษประหารชีวิตในคดีข่มขืนนั้น นางสาวขวัญ (นามสมมุติ) กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าการเพิ่มโทษการข่มขืนด้วยโทษประหารชีวิตจะทำให้คดีข่มขืนลดลง เนื่องจากเชื่อว่าคนที่กระทำการข่มขืน ณ ขณะนั้นล้วนขาดสติ ไม่มาคำนึงถึงโทษที่จะได้รับว่ามากน้อยอย่างแน่นอน ดังนั้น อยากเสนอให้เร่งปรับปรุงระบบป้องกันและการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการปรับปรุงระบบคุ้มครองความปลอดภัยของสตรีมากกว่า และควรเน้นรณรงค์การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น อาทิ จำคุกตลอดชีวิต
"หากใช้อารมณ์ตอบก็คงจะบอกว่าเห็นด้วย แต่ถ้าใช้สติคิดก็คิดว่าไม่เห็นด้วย เราควรเน้นการแก้ไข ไม่ใช่การแก้แค้น ตนคิดว่ากระแสสังคมตอนนี้อยู่ในอารมณ์โกรธแค้น อยากให้ทุกคนใช้สติมากกว่า เพราะยังไงคนที่จะข่มขืนขาดสติแล้ว ตอนนั้นคงไม่มีใครมาคิดถึงโทษที่จะได้รับว่ามากหรือน้อย" สาวปริญญาโท กล่าว
สาวปริญญาโทยังกล่าวถึงกรณีของผู้ว่าการรถไฟฯ ที่มีกระแสเรียกร้องให้รับผิดชอบด้วยการลาออกว่า ส่วนตัวเห็นว่าการลาออกไม่ใช่การแก้ปัญหา และยังอยากให้เวลาผู้ว่าการรถไฟฯ พิสูจน์ตัวเองว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ โดยเฉพาะความปลอดภัย และการรื้อระบบโครงสร้างของการรถไฟฯ ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้จริงหรือไม่