เสียงจากเหยื่อข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน

เสียงจากเหยื่อข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน

เสียงจากเหยื่อข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

20 ก.ค. - "ขวัญ" (นามสมมติ) สาวปริญญาโทที่ถูกข่มขืนบนตู้นอนรถไฟสายใต้เมื่อ 13 ปีก่อน เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว เพื่อติดตามและเรียกร้องความเป็นธรรมกับ คสช.และการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้ช่วยเร่งรัดการชดใช้ค่าเสียหายในคดีแพ่งของการรถไฟฯ กับจำเลย นายณัฐภัทร หรือฤทธิเดช จักรไชย โดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้ร่วมชดใช้ค่าเสียหาย 3,075,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง คือ วันที่ 16 กรกฎาคม 2545 แต่การรถไฟฯ ได้ยื่นฎีกาขอทุเลาคดี ซึ่งสำนักข่าวไทยได้สัมภาษณ์พิเศษเธอในหลายประเด็นด้วยกัน

ในฐานะผู้เสียหาย เห็นข่าวที่เกิดกับน้องแก้ม รู้สึกยังไง

"รู้สึกช็อกพออ่านข่าว มันเหมือนกับเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง รู้สึกเสียใจและน็อกไปเลยค่ะ อ่านข่าวแล้วมันปวดหัวใจมาก เพราะไม่คิดว่าคดีแบบนี้จะเกิดขึ้นอีก ยิ่งน้องเสียชีวิตด้วย มันพูดไม่ออกค่ะ มีความรู้สึกว่า เหตุการณ์นี้มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ทำไมมาเกิดอีก ตู้นอนรถไฟสายใต้เหมือนกัน คนที่ทำก็เป็นลูกจ้างการรถไฟฯ เหมือนกัน เพียงแต่น้องเสียชีวิต ซึ่งขวัญเองก็ย้อนกลับไปตอนนั้น คนที่ทำก็ขู่ว่าถ้าโวยวาย เค้าจะจับขวัญโยนรถไฟ ขวัญก็มาคิดว่า ถ้าตอนนั้นเราตาย เราจะได้มาเรียกร้องแบบนี้มั้ย เราจะได้มีชีวิตอยู่อย่างทุกวันนี้มั้ย คือ สงสารน้องเขามาก พูดไม่ออก"

เมื่อ 13 ปีที่แล้ว คนไม่เชื่อว่าบนรถไฟจะข่มขืนได้ วันนี้อยากยืนยันอะไร

"อึดอัดใจและท้อมาก เพราะว่าคนที่ทำสู้ว่า เราสมยอม และคนที่มองก็จะมองว่า มันเป็นรถไฟนะ มันเป็นบริการสาธารณะนะ คนอยู่เยอะแยะ ทำไมเราไม่ร้อง มันเกิดขึ้นได้ยังไง ซึ่งมันเป็นคำถาม เป็นข้อสงสัย ซึ่งเราที่ตกเป็นเหยื่อ เราบอกได้เลยว่าเจ็บปวดมาก เพราะว่าขวัญต้องพิสูจน์ให้สังคม ให้ศาลรู้ว่า มันเกิดขึ้นจริง และมันเกิดขึ้นแล้ว เจอเยอะมากถึงขนาดต้องพบจิตแพทย์เลย ตอนที่เกิดเหตุเสียงรถไฟมันดังจริงๆ ค่ะ และเป็นช่วงกลางคืน เป็นช่วงที่ทุกคนหลับ เป็นช่วงที่รถไฟจะไม่จอดสถานีอะไรเลย ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีห้า ขนาดที่ว่าหลังโดนกระทำ ขวัญตกลงมากระเสือกกระสนไปห้องน้ำ เพื่อที่จะไปหลบ ยังไม่มีใครตื่นขึ้นมาดูเลย และคืนนั้นที่โดยสารโบกี้ไม่เต็ม จะว่างเยอะ

อุปสรรคระหว่างตอสู้คดีขณะนั้น เจออะไรบ้าง

"ต้องบอกว่าพอลงจากรถไฟมา ไปแจ้งความก็เจอที่ สน.นพวงศ์ ซึ่งร้อยเวรเป็นผู้หญิงไม่รับแจ้งความ อ้างว่า เกิดในเขตประจวบคีรีขันธุ์ ชุมพร ต้องไปแจ้งตรงนั้น ร้องขอให้ส่งตัวไปตรวจร่างกาย ก็อ้างว่าขวัญต้องไปสน.ท้องที่ที่เกิดเหตุ จนวันรุ่งขึ้นขวัญต้องไปที่กองปราบฯ ถึงจะรับเรื่อง แล้วก็ส่งตัวไปตรวจที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่ที่ร้ายที่สุด ขอบอกว่าในศาล ลองคิดดูว่า ผู้หญิงคนหนึ่งต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า เราไม่ได้สมยอม ว่าเราเป็นเหยื่อ แต่ละคำถามที่ถาม บอกได้เลยว่า มันทำลายความเป็นมนุษย์ค่ะ เจ็บปวดมาก ในส่วนของขวัญ ตอนที่อยู่ในศาล ขวัญมีความรู้สึกว่า เหมือนขวัญถูกข่มขืนอีกครั้งกลางศาล คำถามแต่ละคำถามที่ทนายจำเลยถาม บอกตรงๆ ว่ามันทำร้ายจิตใจอย่างมาก มันดูถูกคุณค่าความเป็นผู้หญิง และความเป็นมนุษย์ค่ะ ยกตัวอย่างเช่นว่า ถามขวัญว่า อวัยวะเพศของคนที่ทำ ใหญ่เท่าไหร่ ยาวเท่าไหร่ มันทำร้ายจิตใจมากเลยนะคะ คำถามพวกนี้"

คดีแพ่งที่ฟ้องการรถไฟอยู่คืบหน้าอย่างไร อยากให้การรถไฟฯ รับผิดชอบกับคดียังไงและต่อสังคม

"คดีแพ่งที่ขวัญยื่นฟ้อง ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินยืน แต่ว่าการรถไฟฯ ก็ยังยื้อคดีอยู่ ตอนนี้คดีอยู่ที่ศาลฎีกา ขวัญก็รอดูอยู่ว่าท่านผู้ว่าการการรถไฟฯ จะดำเนินการยังไง ขวัญอยากพบกับท่านผู้ว่าการการรถไฟฯ คือหลังจากเกิดเหตุการณ์ ขวัญถูกบริษัทเลิกจ้าง เพราะอ้างว่าทำให้เสียภาพลักษณ์บริษัท และช่วงนั้นขวัญอยู่ในช่วงพักรักษาตัว คือ แพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจให้ขวัญพัก 1 ปี ซึ่งบริษัทก็เลิกจ้าง และส่งหนังสือมาทางไปรษณีย์ คุณแม่เป็นคนรับคุณแม่เปิดอ่าน คุณแม่ล้มน็อก เป็นเส้นเลือดในสมองแตก เป็นอัมพาตอยู่ไม่กี่เดือนก็เสียชีวิต คือ มันเป็นอะไรที่ประดังเข้ามา งานก็ทำไม่ได้ คุณแม่ก็เสีย ในช่วงนั้น คือ ไม่มีเงินเลย มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก อยากจะบอกว่า จากคนที่เคยทำงาน เงินเดือนถึง 50,000 บาท ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน มันแย่มากเลย ขวัญจะบอกว่าเงินจำนวนนี้ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้นปัจจุบันนี้ขวัญเชื่อว่าขวัญหาได้มากกว่านี้ และสำหรับเงินจำนวนนี้ขวัญบอกได้เลยว่า มันชดเชยไม่ได้กับสิ่งที่ขวัญเสียไป เงินกี่สิบล้านก็ไม่สามารถที่จะซื้อความรู้สึกดีๆ และความภาคภูมิใจในตนเองของลูกผู้หญิงได้ แต่เงินเหล่านี้อาจจะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของขวัญลดภาวะตึงเครียดในการดำรงชีวิตและก็มีกำลังใจสู้ต่อไปได้

กลับมาประเทศไทยตั้งใจจะทำอะไรบ้าง

"หน่วยงานแรกที่ขวัญอยากไปขอบคุณก็คือ มูลนิธิเพื่อนหญิง ที่ตอนนี้แยกออกมาเป็นมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล คือ มูลนิธินี้ช่วยเหลือขวัญมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่เกิดเรื่อง และก็ในส่วนของทนายความ ก็คือ พี่เอ๋ เยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความคดีอาญา อีกหน่วยงานหนึ่งก็คือ สภาทนายความที่ให้ความอนุเคราะห์จัดหาทนายในส่วนของคดีแพ่งให้ ซึ่งตลอด 13 ปีที่ผ่านมา พี่ๆ ทนายความทุกคนอยู่กับขวัญตลอด ซึ่งขวัญอยากไปขอบคุณทุกท่านและขอบคุณหน่วยงานนี้ค่ะ ส่วน คสช.ขวัญตั้งใจจะไปยื่นหนังสือเร่งรัดขอความเป็นธรรมกับ คสช.และการรถไฟฯ เพราะว่า 13 ปีแล้ว คดีแพ่งของขวัญไม่ไปไหนเลย ยังไม่จบ ซึ่งตัวขวัญอยากให้คดีมันจบ เพราะว่าขวัญไม่อยากที่จะจมอยู่กับอดีต ติดกับสิ่งที่เลวร้าย คือ ให้มันจบไปเลย แล้วก็ไม่ต้องพูดถึง แต่พอดีว่า มีเรื่องของน้องแก้มเกิดขึ้น พอมีเรื่องน้องแก้มเกิดขึ้น สังคมก็จะมาให้ความสนใจในคดีที่มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งขวัญจะบอกว่า มันเงียบหายไปจากสังคม ไม่มีใครสนใจเลย แต่พอเรื่องของน้องแก้มเกิดขึ้น ทุกคนก็มาสนใจอีก ซึ่งขวัญก็อยากจะถามเหมือนกันว่า ตอนที่เกิดคดีขวัญ ขวัญเรียกร้องหลายอย่าง เรียกร้องความปลอดภัย เรียกร้องเยอะมาก แต่มันก็เงียบ เงียบหายไป แล้วมันก็มาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอีกกับน้องเค้า แล้วมันก็ร้ายแรงกว่าเดิมอีก ขวัญอยากให้จบแค่นี้ค่ะ ไม่อยากให้มีอีก ขนาดตอนที่อ่านข่าวน้องแก้ม ขวัญรู้สึกว่า ทำไมมันไม่จบที่ขวัญ ทำไมมันถึงเกิดขึ้นอีก แล้วทำไมต้องเป็นน้องเขาด้วย"

รถไฟไทยควรทำอย่างไรถึงจะปลอดภัย

"ขวัญว่าการรถไฟฯ ควรที่จะปรับโครงสร้างในการบริหารงานใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะการให้บริการกับผู้โดยสาร การคัดเลือกพนักงาน การให้บริการสาธารณะ อยากให้ผู้ให้บริการมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบผู้ใช้บริการทุกกรณี ขวัญเชื่อว่าถ้ามีข้อกำหนดแบบนี้ขึ้นมา ผู้ให้บริการย่อมต้องทำระบบรักษาความปลอดภัยให้ผู้รับบริการอย่างเข้มแข็ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก"

เห็นด้วยกับการเพิ่มโทษการข่มขืนด้วยโทษประหารชีวิตหรือไม่

"สำหรับโทษประหารชีวิตนะคะ ขวัญขอบอกเลยว่า ถ้าให้ขวัญใช้อารมณ์ตอบ ขวัญก็จะตอบว่า ขวัญเห็นด้วย แต่ถ้าให้ขวัญใช้สติคิดในการตอบ ขวัญคิดว่า โทษประหารอาจจะไม่ช่วยให้คดีข่มขืนลดลง คือ ตรงนี้ขวัญอยากให้มองว่า ขวัญเข้าใจว่าคนที่ลงมือข่มขืน ณ นาทีนั้น ยังไงก็ขาดสติ เขาไม่มานั่งคิดว่าจะได้โทษ 3 ปี 5 ปี หรือตลอดชีวิต ขวัญคิดว่าเวลาคนที่ขาดสติ จะไม่มานึกถึงโทษจะได้รับ ขวัญคิดว่าเราควรจะแก้ที่ต้นเหตุ คือ การป้องกันและการแก้ไข รวมไปถึงการเยียวยาเหยื่อด้วย ประเด็นที่จะแก้ไข ขวัญอยากให้ปรับปรุงระบบคุ้มครองและการเยียวยาทางสังคมเรื่องระบบความปลอดภัยของสตรีมากกว่า

ส่วนในเรื่องของการลงโทษที่รุนแรง เป็นสิ่งที่เราควรจะรณรงค์ เช่น โดนจำคุกตลอดชีวิต หรือแบบเกาหลี ที่ทำให้อัณฑะฝ่อและหมดสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งตรงนี้ขวัญคิดว่า มันน่าจะแก้ปัญหาได้ตรงจุด คือ คนเลวจะได้ถูกเก็บในที่ที่เขาจะไม่สามารถไปทำร้ายคนอื่นได้อีก ในมุมมองของขวัญแล้ว คิดว่าสิ่งที่ควรกระทำเร่งด่วน คือ ระบบการป้องกันและเยียวยาผู้เสียหาย การชดใช้ทางแพ่งต้องรวดเร็วและมากพอสำหรับผู้ที่ตกเป็นผู้เสียหาย ดูอย่างกรณีขวัญ 13 ปี นะคะ มันนานมาก ควรที่จะได้รับการเยียวยาในทันที ทั้งทางกำลังทรัพย์ กำลังใจ ขวัญเชื่อว่าผู้หญิงหลายคนยอมรับตัวเองไม่ได้ แล้วก็อาจจะฆ่าตัวตายหลังจากที่ถูกข่มขืน ตัวขวัญเองเคยอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง และก็เคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วเหมือนกัน ขวัญเข้าใจตรงนี้ดี ขวัญคิดว่า เราควรเน้นการแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น กระแสของสังคมตอนนี้อยู่ในกระแสของอารมณ์ที่ต้องการที่จะแก้แค้น แต่ตัวขวัญเอง ขวัญอยากให้คนในสังคมใช้สติมากกว่าอารมณ์ เพราะว่าโทษประหารออกมา ต้องใช้ในระยะยาว ซึ่งตรงนี้มันก็จะมีผลตามมา ซึ่งขวัญคิดว่ามันจะไม่สามารถทำให้ลดลงอย่างแท้จริง ที่ขวัญเห็นด้วยนะคะ อย่างเช่นกฎหมายที่จะห้ามดื่มและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เห็นด้วยเพราะมันก็เป็นจุดหนึ่งที่ว่าจะป้องกันได้

แล้วก็อีกประเด็นหนึ่งที่ขวัญอยากฝากไปถึงสื่อมวลชน โดยเฉพาะ หนัง ละคร สื่อบันเทิงต่างๆ ซึ่งขวัญอยู่ต่างประเทศขวัญติดตามเหมือนกัน มันมีภาพและเนื้อหารุนแรงที่อยู่ในสื่อ ซึ่งขวัญคิดว่า ตรงนี้มันมีอิทธิพลต่อสังคมนะคะ อยากให้สื่อปรับปรุงตรงนี้ ลดความรุนแรงลงบ้าง"

กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบควรปรับอย่างไร เพื่อให้ผู้เสียหายมีโอกาสและมั่นใจในการต่อสู้คดี

"ต้องปรับมากเลยค่ะ กรณีแรกเลยที่ขวัญเจอ คือ ตำรวจ ถึงแม้ว่าจะเป็นร้อยเวรผู้หญิง แต่ก็ไม่รับแจ้ง ที่อ่านข่าวกรณีของน้องแก้ม ญาติของน้องก็เจอเหมือนกัน ตรงนี้ที่ควรจะปรับปรุงอย่างเร่งด่วน และในกระบวนการของศาล คือ ทนายความควรที่จะมีการอบรมเรื่องมารยาท น่าจะมีการกลั่นกรองหรือการกระทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะทำให้ผู้หญิงรู้สึกดีขึ้น คือ ขวัญเชื่อว่า ผู้หญิงหลายคนอับอาย ไม่กล้าไปแจ้งความ แต่ขวัญอยากเรียกร้องให้ผู้หญิงออกมาแสดงตัวเมื่อถูกกระทำ เพื่อว่าจะได้รับการบำบัดอย่างเป็นขั้นตอน โดยเฉพาะทางจิต เป็นอันดับแรก กว่าขวัญจะได้รับการบำบัดทางจิตก็ใช้เวลานาน บอกเลยว่า ภาวะทางจิตใจของขวัญแย่มาก อีกกรณีคือ ถ้าผู้หญิงออกมาแสดงตัวต้องได้รับการบำบัดทางจิต ได้รับการดูแลทางการแพทย์ และก็มีค่าชดใช้ค่าเสียหายในอัตราที่สูง โดยเฉพาะถ้าเป็นบริการสาธารณะ ขวัญว่าจะทำให้คนระมัดระวังมากขึ้น แล้วก็ถ้าระบบของกระบวนการยุติธรรม ระบบของศาล ระบบของการเยียวยาทางจิตระบบของการชดเชยค่าเสียหายการเยียวยากับเหยื่อดีกว่านี้ ขวัญคิดว่าผู้หญิงน่าจะกล้าที่จะออกมาเปิดเผยมากขึ้น และขวัญก็เชื่อว่าถ้ามีการตรวจสอบมากขึ้น อาจจะส่งผลทำให้คดีต่างๆ ลดลง เพราะว่าเหยื่อกล้าที่จะเรียกร้อง"

อยากฝากอะไรถึงใครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ้าง

"ขอฝากถึงครอบครัวของน้องแก้ม ขวัญขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องแก้มด้วย ขวัญเข้าใจในภาวะการของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ขวัญอยากจะบอกว่า น้องไปสบายแล้ว เพราะถ้ายังมีชีวิตอยู่ น้องจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เพราะอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับขวัญเอง ขวัญคิดว่าเหมือนตายทั้งเป็น และขวัญก็ต้องสูญเสียคุณแม่ ขวัญอยากให้ครอบครัวของน้องแก้มมีความเข้มแข็ง และก็ได้รับการเยียวยาโดยเร็วที่สุด ขวัญขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ"

"ในส่วนของคนร้าย คนที่ทำขวัญ และก็คนที่ทำน้องแก้ม ขวัญไม่รู้ว่าขวัญจะพูดว่าอะไร คือ ก็อยากถามเขาว่า ทำได้ยังไง ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้มันเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวเขา เขาจะคิดยังไง"

"สำหรับการรถไฟ ขวัญขอตำหนิการรถไฟฯ เพราะว่าควรที่จะมีการบริหารจัดการองค์กรได้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของขวัญที่เกิดขึ้น ก็ควรที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและก็มากกว่านี้ แต่ก็ยังเกิดซ้ำอีก"

ชวิดา วาทินชัย รายงาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook