หลวงปู่พุทธะอิสระ โพสต์เดือด ปมละสังขาร
หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) วันที่ 14 กันยายน
รวยเพราะปาก ก็ซวยได้เพราะปาก
ระยะนี้มักจะได้ยินคำว่า ละสังขาร ปลงสังขาร อยู่หนาหู หลายคนอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไร มันแปลว่าอะไร ผู้ที่จะสามารถรู้ได้ล่วงหน้าต้องมีคุณสมบัติอย่างไร สุดท้ายจักได้ประโยชน์อะไรกับผู้ละและผู้รู้ว่ามีผู้จะละ
คำว่าละสังขาร หมายความว่าต้องการตาย อยากตาย ปรารถนาที่จะตายในวันเวลาที่ตนกำหนด ด้วยเหตุแห่งนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย มีปัญญามองเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่คงทน ไม่แน่นอน บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนามิได้ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว จึงกำหนดว่าไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว เราจะมาจมปลักอยู่กับสิ่งที่เป็นมายาอยู่อย่างนี้ทำไม
จึงกำหนดวันเวลาตายโดยมิต้องทำอัตตวิบากกรรม คือฆ่าตัวตาย มีชีวิตอยู่ดุจคนปกติ ไม่ต้องอดข้าว อดน้ำ ไม่ต้องกลั้นลมหายใจ ยังทำภารกิจทุกชนิดได้ แต่ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเร้าเครื่องล่อทั้งปวง ไม่โดนครอบงำด้วยกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ตกอยู่ในอำนาจของโลกธรรมทั้ง ๘ ได้แก่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สีสุขเสื่อมสุข มีทุกข์เสื่อมทุกข์ มีสรรเสริญเสื่อมสรรเสริญ มีนินทาเสื่อมนินทา มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริงชัดเจน จนไม่มีอะไรต้องยึดติดผูกพัน ที่เรียกว่าละอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เป็นผู้เข้าถึงซึ่งคุณอันวิเศษอันยิ่ง อันปุถุชนคนธรรมดายังเข้าถึงมิได้ เป็นคุณวิเศษของพระอริยะเจ้าขั้นพระอรหันต์ ผู้สามารถละสังโยชน์ ที่แปลว่ากิเลสเครื่องผูกรัดให้ตกจมปรักอยู่ในวัฏสงสาร มี 10 ประการได้แก่
๑. สักกายทิฏฐิ ความถือตัวถือตน
๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย
๓. สีลัพพตปรามาส ความไม่มั่นคงในศีล
ผู้ที่ละสังโยชน์ 3 ข้อแรกนี้ได้ถือว่าลุถึงโสดาบัน คือผู้ที่ไม่ตกไปอบายภูมิ
๔. กามราคะ ความพอใจหมกหมุ่นอยู่ในกามคุณทั้ง 5
๕. ปฏิฆะ ความไม่ชอบใจ หงุดหงิด
พระโสดาบันหากสามารถทำกามราคะและปฎิฆะให้เบาบางลงได้จึงสามารถบรรลุพระสกิทาคามีคือผู้กลับมาเกิดในกามโลกได้อีกแค่ชาติเดียวและหากสามารถละกามราคะและปฏิฆะเสียได้สิ้น จึงบรรลุอนาคามี แปลว่าผู้จะไม่มาเกิดในกามาวจรภพอีก แต่จะไปเกิดในชั้นพรหมและจักบรรลุอรหันต์ในชั้นพรหมนั้นเลย เมื่อละสังโยชน์อีก 5 ข้อคือ
๖. รูปราคะ ความยึดมั่นในรูปฌาน
๗. อรูปราคะ ความยึดมั่นในอรูปฌาน
๘. มานะ ความถือตัวถือตน
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งของจิต
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้แจ้ง
รวมความว่า นักบวชรูปใดมีสติปัญญารู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง ไม่ตกอยู่ในความครอบงำของอวิชชา ตัณหาอุปาทาน ชาติ ภพ มีปัญญาเห็นชัดตามความเป็นจริง ว่าสรรพสิ่งเป็นแต่เพียงมายา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เกิดนิพพิทาญาณเบื่อหน่ายในโลกแห่งมายาการ จึงเปล่งวาจาว่า โลกนี้ไม่มีแก่นสารที่ยั่งยืน ล้วนแล้วแต่เป็นความหลอกลวง เป็นภาพมายา ประโยชน์อันใดที่เราจะมีร่างกายชีวิตจมปรักอยู่กับสิ่งหลอกลวง ของโกหกเหล่านี้ อีก 3 วัน 7 วัน 3 เดือน 7 เดือน หรืออีก 1 ปี เราจะละสังขารอันไม่เที่ยงนี้ ณ ที่นั่น ที่นี่ เวลานั้น เวลานี้ เช่นนี้ ถือว่าเป็นการปลงอายุสังขาร
แต่ถ้าหลับๆตื่นๆ หากินหาอยู่อย่างฝืดเคือง อดอยากอยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก มีอันตราย ไม่สมหวัง ไม่สมความปรารถนา ถูกบีบคั้นเบียดเบียนจากเวรภัยโรคร้าย หรือศัตรูมาข่มขู่คุกคาม แล้วหาทางออกทางหนีไม่พ้น แล้วฆ่าตัวตาย ประกาศฆ่าตัวตาย หรือใช้คำให้ดูดีดูหรูหน่อยเพื่อสร้างความน่าเลื่อมใสศรัทธา เช่นละสังขาร ปลงอายุสังขาร นิพพาน
หากเป็นคนธรรมดาพูด โบราณเขาว่าบ้า หากเป็นนักบวชพูด ท่านว่าชั่วผิดหยาบ ทำเพราะต้องการลาภ ต้องการศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ตนหรือคนใกล้ชิด ยิ่งพอถึงเวลาไม่ตายจริง แล้วมาโกหกซ้ำซาก เขาเรียกจับหนูใส่กระบอก กรอกหนูกลายเป็นนก ฟัง เชิญฟัง ตาพิมพาขี้เมาเล่าเรื่องโกหก
ไม่รู้คณะสงฆ์ยังปล่อยให้คนลวงโลกเช่นนี้ ยังคอยทำเรื่องเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนาได้อย่างไร หรือพอๆกัน เป็นพวกเดียวกัน เลยไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว มั่วมัวเมากันอยู่ทุกวันนี้
มหาเถระสมาคมไม่เคยทำความผิดความถูกที่เกิดขึ้นในสังฆมณฑลให้กระจ่างชัดได้เลยตั้งแต่เห็นมาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นคดีไหนๆล้วนแล้วแต่ประชาชนสังคมคนเสพกามเป็นผู้ถามหาความบริสุทธิ์ถูกต้องจากมหาเถระสมาคมและสังฆมณฑลทั้งนั้น
เมื่อไรจะรู้สึกเสียทีว่าชาวบ้านเขาเริ่มสงสัยแล้วว่าควรจะไหว้ให้ข้าวให้น้ำแก่สังฆมณฑลกินต่อไปดีหรือไม่ สงสัยต้องรอให้อดตายกันเป็นวัดๆก่อน ผู้บริหารสังฆมณฑลจึงสำนึก
พุทธะอิสระ
14 ก.ย. 57