โย ยศวดี งัดหลักฐานโชว์ ไม่เคยโกง บี น้ำทิพย์
ต้องออกมาแถลงข่าวอีกรอบ สำหรับนางแบบสาว "โย ยศวดี" พร้อมโชว์หลักฐานว่าไม่เคยโกงอดีตน้องรัก "บี น้ำทิพย์" ทั้งยังยินดีให้อีกฝ่ายเข้ามาตรวจสอบบัญชีบริษัทที่อีกฝ่ายยังรู้สึกไม่เคลียร์ พร้อมขอวอนให้จบทุกอย่างด้วยดี
"ขอบคุณนะคะที่มากันวันนี้ ซึ่งเรื่องแรกที่โยอยากจะชี้แจงก็คือ เรื่องที่คุณบีบอกว่า โยดิสเครดิต หุ้นลม และ จ้างมาเป็นพรีเซนเตอร์ อันนี้ต้องกลับไปดูให้ดีนะคะ เพราะโยไม่เคยพูดคำว่าหุ้นลมหรือจ้างมาเป็นพรีเซนเตอร์ แต่ประโยคที่โยพูดออกมาวันนั้นมันสืบเนื่องมาจากครั้งแรกที่คุณบีออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเรามีปัญหากันเรื่องธุรกิจ จนโยถูกผลกระทบจากสังคมรอบด้านที่ตัดสินว่าโยโกงเขา ซึ่งสิ่งที่โยพูดวันนั้นโยก็แค่ต้องการชี้แจงเรื่องธุรกิจว่าเมื่อไม่มีเงินลงทุน ต่อให้ธุรกิจเจ๊งคุณบีก็จะปลอดภัย โยไม่ได้ต้องการฉีกหน้าใครเลย สิ่งที่โยนำมาให้ดูวันนี้มันคือเอกสารการเงินทั้งหมดตั้งแต่สัปดาห์แรกจนถึงสัปดาห์สุดท้ายที่เราเปิดบริษัท ซึ่งในเอกสารนี้สามารถบอกได้เลยว่าบริษัทโยบีมีเงินลงทุนหรือไม่"
"ด้านเงินก้อนแรกที่คุณบีบอกว่าเป็นเงินลงทุนพร้อมกัน อันนี้โยต้องอธิบายก่อนนะคะว่า เงินลงทุนที่คุณบีเข้าใจเนี่ย อาจจะเป็นเงินที่เราจ่ายกันในวันที่เราถ่ายแบบโฆษณาโยบีครั้งแรก ซึ่งในวันนั้นมีเงินของคุณบี 43,000 บาท ส่วนเงินของโย 69,000 บาท แค่นี้เท่านั้นนะคะที่บอกว่าเป็นเงินก้อน หลังจากนั้นพอถ่ายแบบเสร็จเรียบร้อย เงินก้อนนี้ก็ถูกคืนสู่กรรมการ และไม่เคยได้รับเงินใด ๆ อีกจนถึงวันสุดท้ายของการเปิดกิจการ"
"คราวนี้จะพูดถึงการลงทุน โยมีเงินลงทุนหมุนเวียนในนี้อยู่ 450,000 บาท ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากใบการเงินที่โยนำมา ถ้าคุณบีลืมหรือคุณบีจำไม่ได้จริง ๆ โยพร้อมนะที่จะคุยกันตัวต่อตัว นำการเงินของคุณบีมาด้วยก็ได้ ส่วนข้อมูลที่คุณบีบอกว่ามีเจ้าหน้าที่การเงินที่เป็นพรรคพวกเดียวกับโย อันนี้โยต้องชี้แจงนะคะว่าเขาลาออกไปนานแล้ว และตอนนี้โยก็ได้หาการเงินคนใหม่เพื่อมาเช็คดูว่าสิ่งที่การเงินคนเก่าคิดถูกต้องตามบัญชีจริงหรือเปล่า ซึ่งมันจะแฟร์กับคุณบีที่สุดด้วย"
สรุปก็คือเงินที่นำมาลงทุนร่วมกันก้อนแรก เป็นแค่เงินที่ใช้ในการถ่ายโฆษณาเพื่อโปรโมทธุรกิจ?
"ถูกต้องค่ะ"
สิ่งที่เขาบอกคือดูบัญชี 3 รอบแต่ก็ไม่เคลียร์เลยสักรอบ ?
"บัญชีดู 3 รอบไม่เคลียร์ ก็เพราะไม่เคยดูบัญชีมาก่อนเลยในการทำธุรกิจ 20 เดือน ดังนั้นถ้าจะให้เข้าใจในวันแรกเลยเนี่ยโยก็คิดว่าคุณบีเขาก็ไม่ใช่เทพนะ ซึ่งครั้งสุดท้ายคุณบีเขามีผู้ช่วยมาช่วยดูมันก็ดีขึ้น เพราะผู้ช่วยคุณบีรู้ทุกอย่าง และการคุยครั้งนั้นก็เคลียร์หลายจุด แต่เรายังสรุปไม่ได้เพราะช่วงนั้นมันเป็นเดือนสิงหาคม ธุรกิจเราต้องรันไปอีก 2 เดือน กว่าจะถึงเดือนตุลาคม คือบัญชีมันจะไม่นิ่ง เราก็เลยต้องรอให้บัญชีมันปิดทุกอย่างก่อนถึงเขาจะเห็นทุกอย่างชัดเจน แต่นับจากวันนั้นจนถึงตอนนี้โยก็ยังไม่ได้คุยกับคุณบีเลยค่ะ"
ทางฝั่งคุณบีเขาบอกอีกว่าอยากให้มีบัญชีคนกลางมาช่วยดูเงินตรงนี้ ?
"เราเคยบอกกับคุณบีเรื่องนี้ไปแล้วนะคะ ซึ่งวันที่คุยก็มีพยานหลักฐานหลายท่าน แต่คำตอบของคุณบีก็คือ เขาไม่พร้อมและก็ไม่เป็นไร ให้เราทำให้เสร็จ ถึงวันที่ 4 ตุลาคมเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน ซึ่งโยไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าคุณบีเขายังจำได้หรือเปล่าว่าเขาพูดอะไรบ้าง"
สาเหตุที่เราสองคนเข้ามาคุยกันไม่ได้มันเกิดจากอะไร ทัศนคติไม่ตรงกันหรือว่าต่างฝ่ายต่างมีอคติ ?
"ถ้าทัศนคติมาถึงตอนนี้มันก็ไม่ตรงกันอยู่แล้วแหละ ยิ่งอคติมันก็คงต้องมีอย่างเต็มแรงมาก ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วโยเองก็พยายามที่จะเปิดใจแล้วนะคะ พยายามเปิดจนไม่รู้จะเปิดยังไงแล้วเหมือนกัน"
กระแสสังคมก็บอกว่าเราคิดไม่ซื่อตั้งแต่ตอนที่ดึงพี่สาวมาทำ ?
"กระแสสังคมมีตลอดค่ะ แต่ก็อย่างที่โยบอกโยอยากให้ตัดสินกันในเรื่องของความเป็นจริงมากกว่า โยไม่ได้อยากหักล้างหรืออะไรเลย เพียงแต่ที่ต้องออกมาเพราะมันมีเรื่องของใบหนี้สิน ที่สามารถถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นคดีความได้ เพราะโยไม่อยากให้เขานำใบนี้ไปโชว์ที่ไหนอีก เนื่องจากมันจะเป็นผลร้ายต่อตัวเขาเอง เอกสารตรงนั้นมันไม่ได้มีชื่อเขา คือถ้ามันมีชื่อเขาโยจะไม่ว่าอะไรเลย แถมที่สำคัญเราจัดการทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้วด้วย"
ยืนยันได้ไหมว่าเราทำธุรกิจอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ ?
"โยยินดีที่จะให้ดูทุกอย่างนะคะ และโยกล้ายืนยันตรงนี้เลยว่าไม่ได้โกงเงินแม้แต่บาทเดียว"
ทำไมถึงต้องดึงพรรคพวกเราเข้ามาช่วยทำงาน ทำไมไม่ให้คุณบีดึงคนของตัวเองมาช่วยบ้าง ?
"โยเคยบอกเขาแล้ว เคยบอกกับเขาว่าให้พาคุณแม่เข้ามานั่งเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัท แต่คุณบีก็ปฏิเสธ ซึ่งไม่ใช่แค่โยที่ได้ยิน คนอื่นก็ได้ยินคุณบีปฏิเสธเหมือนกันหมด"
ทางด้านพี่โยจะส่งทนายไปหาพี่บีตามที่เขาบอกไหม ?
"ยังค่ะ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขาออกมาแถลงมันส่งผลกระทบกับธุรกิจใหม่โยมาก"
จริงไหมกับสิ่งที่เขาบอกว่าเราส่ง SMS ไปให้เขาเหมือนประมาณว่าขู่เซ็นเอกสาร ไม่เช่นนั้นให้ทนายไปหา ?
"มีใครได้เห็น SMS ไหมคะ คือโยพูดดีก็แล้วนะ รักก็แล้วนะ แต่คุณบีก็พูดอยู่ประโยคเดิม ๆ คือ "ไม่ว่าง พร้อมเมื่อไหร่จะติดต่อไป" ซึ่งประโยคพวกนี้โยฟังมานานมากแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงวันนึงโยเลยตัดสินใจบอกกับเขาไปว่า "ถ้าไม่พร้อมไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวโยจะให้ทนายส่งจดหมายไปเพื่อเชิญตัวเขามาเซ็นเอกสาร" และถ้าประโยคนี้หมายถึงการขู่ตัวโยก็คงโดนขู่มานักต่อนักแล้วค่ะ"
มันคือเอกสารอะไรทำไมถึงต้องให้คุณบีเข้าไปเซ็น ?
"คุณบียังไม่เคยมารับรู้เรื่องการปิดบริษัทเลยค่ะ เขาถึงไม่รู้ไงคะว่า บริษัทเราเป็นหนี้ และชำระหนี้ไปเรียบร้อยแล้ว"
ตอนนี้ยังมีเงินที่ต้องคืนให้พี่บีอีกไหม ?
"ไม่มีค่ะ"
เหมือนเขาเองก็ไม่เคลียร์เพราะเรื่องธุรกรรมทางการเงินเราทำเองคนเดียวทั้งหมด เขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย ?
"โยก็เชื่ออย่างนั้นค่ะ ว่าเขาอาจจะไม่เข้าใจจริงๆ เพราะว่าหลายครั้งที่โยโอนเงินปันผลให้คุณบี คุณบีกับคุณแม่ยังทะเลาะกันเองเลย เนื่องจากมันมีการโอนเข้าคุณแม่ทีหนึ่ง คุณบีทีหนึ่ง และสองคนก็ไม่คุยกัน จนมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเคลียร์ และคุณแม่กับคุณบีก็เคยทะเลาะกันมาแล้วนะคะ ซึ่งที่ผ่านมาโยเองก็พยายามจะสอนเขา และอยากให้เขาทำอะไรให้มันเป็นระบบระเบียบกว่านี้"
"อย่างกรณีที่เขาบอกว่าเหมือนเขาถูกบังคับให้ต้องเซ็นยินยอมในการทำธุรกรรม อันนี้โยต้องถามกลับว่า คุณบีเขาไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ คุณบีอายุเท่าไหร่แล้ว ในชีวิตคุณบีมีใครบังคับคุณบีได้บ้าง เพราะสิ่งที่เราคุยกันตอนนั้นคือคุณบีไม่มีเวลาจริงๆ เนื่องจากเขาต้องถ่ายละครตลอด และพอมาวันนี้คุณบีกลับมาบอกว่าไม่ไว้ใจ ดังนั้นถ้าไม่ไว้ใจอะไรก็เข้ามาดูค่ะ ปัญหาจะได้จบ เพราะเงินเข้าเงินออกชัดเจนมาก"
พี่โยได้บอกฝั่งนั้นตั้งแต่แรกไหมว่าเงินก้อนนี้ไม่ใช่เงินลงทุน ?
"ก็คือพอเราแพลนว่าจะเปิดธุรกิจ เรื่องการถ่ายแบบมันเลยเกิดขึ้น เพราะเรามองว่ามันจำเป็นจะต้องใช้ภาพถ่ายในการโปรโมทธุรกิจกับสื่อ ซึ่งมันก็คือเงินตรงนี้แหละ เงินที่ใช้ลงทุนในการถ่ายแบบเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายเราก็ได้คืนกันหมด แต่เงินที่ใช้ลงทุนในการเปิดธุรกิจจริง ๆ ของคุณบีไม่มีค่ะ"
แต่เราบอกว่าเราออกเงินลงทุนไป ?
"ใช่ค่ะ มีจำนวน 450,000 บาท"
เหมือนกับว่าคุณบีเขาไม่ทราบเรื่องเงินตรงนี้ ?
"โยมองว่าคุณบีไม่ได้ทราบอะไรตั้งแต่แรก เพราะว่าตัวโยเองก็พยายามแล้วนะคะที่จะอธิบาย พยายามทุกวิถีทางแล้วเหมือนกัน ทั้งการเรียกมาทำงาน เรียกมาประชุม คือคนที่จะมาเซ็นอะไรทุกอย่างในการเปิดธุรกิจและมาบอกว่าไม่รู้เนี่ย เราก็ลำบากใจนะ"
หนี้จำนวน 900,000 บาท อันนี้คืออะไร ?
"หนี้ตัวนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ตอนเดือนเมษายนค่ะ แต่เกิดขึ้นจากซับพลายเออร์บอกกับโยว่าบิลตัวนี้ถูกลืมมา 1 เดือน และเป็นบิลย้อนหลัง ซึ่งปกติเวลาการจ่ายเงินค่าอาหารของโย โยจะจ่ายเป็นวีคเว้นวีค ส่วนเงินก้อนจำนวน 900,000 บาท ที่คุณบีบอกว่าตั้งแต่วันแรกที่เราไม่ได้จ่ายซับพลายเออร์เลยเนี่ย อันนี้โยยืนยันนะคะว่าไม่ใช่ เพราะมันเป็นเงินที่แค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น ในการปิดซับพลายเออร์ ซึ่งเรื่องนี้มันเกิดขึ้นแค่ 3 สัปดาห์และเราเองก็แก้ไขทุกอย่างจนจบในเวลาอันสมควร ส่วนการที่คุณบีนำใบหนี้สินเก่าขึ้นมาโชว์ทั้ง ๆ ไม่มีชื่อของตัวเองในนั้น จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องใหญ่นะคะ แต่นี่เห็นว่าเป็นคุณบีถึงคิดว่าจะขออธิบายให้เรื่องมันจบตรงนี้ไม่อยากให้มันใหญ่โตไปกว่านี้ค่ะ"
"โยไม่อยากโทษคุณบีนะคะสำหรับเรื่องนี้ เพราะคุณบีอาจจะไม่รู้เนื่องจากเขาไม่ได้เข้ามาทำงานในบริษัทมานานมากแล้ว โยยืนยันว่าเงิน 900,000 บาท ก้อนนี้ไม่ได้หายไปไหนนะคะ เงินก้อนนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ จบสิ้น ถือว่าเคลียร์นะคะ ใบหนี้ตรงนี้ก็จบ บริษัทโยบีปิดตัวไปเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่การชำระเงินเดือนหรืออะไรต่าง ๆ มันไปจบตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมแล้ว"
จริงไหมกับสิ่งที่คุณบีบอกว่าเรื่องเงินตรงนี้คือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เขาเข้าใจว่าบัญชีบริษัทมีอะไรผิดปกติ ?
"คือถ้าสมมุติว่าบัญชีมันเป็นปัญหาจริง เราก็ควรที่จะจัดการตั้งแต่ตอนนั้นเลยถูกต้องไหมคะ แต่ทำไมเขาถึงรอมาตั้ง 5 เดือนโดยที่ไม่พูดอะไรเลย"
เหมือนเขาบอกว่าเชื่อใจเรา ?
"ต้องเชื่อใจนะคะ เพราะถ้าไม่เชื่อใจโยธุรกิจคงมาถึงตรงนี้ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีใครบริหาร โยทำธุรกิจนี้มาไม่เคยทำให้ใครต้องเสียเงิน โยบริหารเองทั้งหมดทุกอย่าง คนเยอะ รายจ่ายเยอะ กิจการใหญ่ แต่สุดท้ายโยก็ทำให้บริษัทนี้ปิดตัวได้โดยปลอดภัยทุกอย่าง ไม่มีปัญหาไปถึงผู้บริหารท่านใด ๆ ซึ่งโยเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาจะต้องเดือดร้อนในเรื่องไหน คือถ้าเดือดร้อนตรงที่เป็นหนี้ได้ยังไง คุณบีทำไมไม่ถามโยในตอนนั้น ทำไมถึงออกมาบอกกับสื่อว่าเป็นเดือดเป็นร้อนตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา"
เขาบอกว่าพยายามติดต่อไปแล้วกับทางฝ่ายบัญชีถึง 3 ครั้ง ?
"ระยะเวลา 5 เดือน ในการติดต่อบัญชี 3 ครั้ง ถือว่าน้อยมากนะคะ และที่สำคัญ 3 ครั้งของคุณบีก็คือเมื่อเดือนสิงหาคม ตอนที่โยบอกว่าจะปิดกิจการแล้ว"
เรื่องอินสตาแกรมเขาก็บอกว่ามีปัญหาใหญ่เหมือนกัน ?
"คือก่อนหน้านี้โยเห็นว่าไอจีโยบีมันนิ่งก็เลยนำภาพสินค้าของตัวเองไปโปรโมท แต่ก็มาทราบเอาทีหลังจากผู้ช่วยเขาว่าคุณบีโกรธมาก โยก็เลยรีบโทรไปหาเขาเพื่อคุย เพราะโยเองก็อยากจะขอไอจีนี้ไว้ เนื่องจากเราก็สร้างมันมาด้วยกัน แต่สุดท้ายในเมื่อเขาบอกว่าไม่ได้เราก็เข้าใจและพร้อมที่จะปิด
ส่วนเรื่องชื่อการเปลี่ยนชื่อไอจีอันนี้คุณบีเขารู้สึกว่าเขาโกรธมาก เพราะเขารู้สึกเหมือนถูกเหยียบหน้า ซึ่งโยต้องบอกก่อนว่าเราเปลี่ยนแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะคะ เนื่องจากคนในทีมโยคิดว่าเราตกลงกันได้ และเมื่อเราตกลงกันไม่ได้โยก็เลยรีบไปบอกทีมโยว่าให้เปลี่ยนชื่อกลับเดี๋ยวนี้เพราะเราตกลงกันไม่ได้ และขอให้ปิดโซเชียลเน็ตเวิร์คทุกอย่างที่เป็นของโยบีให้หมด ซึ่งพอปิดหมดปุ๊ปคุณบีเขาก็โอเค และบอกว่าขอบคุณมากค่ะ
ดังนั้นสิ่งที่โยอยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ "พี่ขอโทษ (ร้องไห้) และยังยืนยันว่ายังรักเขาเหมือนเดิมทุกอย่าง คำขอโทษที่พูดวันนี้พูดจากใจนะคะ และสิ่งที่อยากจะเคลียร์คือโยไม่ได้โกงใครนะคะ โยทำทุกอย่างด้วยการสัจจริง โยอยากจะขอโอกาสจากสังคมในการทำธุรกิจต่อ ในการที่จะแบกภาระทุกอย่างที่ทำ สิ่งเดียวที่โยอยากจะขอคือขอให้บีมาคุยเท่านั้นเอง"
จริงไหมที่เรื่องนี้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว อย่างเรื่องของคุณฮิมด้วย ?
"โยจะไม่เอ่ยถึงบุคคลที่ 3 นะคะ แต่ถ้าวันนี้เราจะเลิกคบกันหรือแตกหักกันจริง ๆ ก็อยากให้มาจากการตัดสินใจของคุณบีคนเดียว หลังจากที่เราได้คุยกันแล้วค่ะ"
ที่ผ่านมาเราเคยมีปัญหาอะไรกับแฟนคุณบีไหม ?
"ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลยนะคะ ยืนยันเลยจริง ๆ"
มีปัญหาหนักแบบนี้จะยังกลับไปรักกันเหมือนเดิมได้ไหม ?
"คงไม่เหมือนเดิมแน่ ๆ ค่ะ แต่อย่างหนึ่งที่อยากขอร้องโยไม่อยากให้สังคมตัดสินว่าใครถูกหรือผิดเวลานี้ เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเราสองคนจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องของประชาชนหรือใครทั้งสิ้น"
รู้สึกยังไงบ้างกับสิ่งที่เขาพูดว่าอยากให้ธุรกิจใหม่ของเรารุ่งเรืองเหมือนกับสิ่งที่เราทำ ?
"ไม่โกรธนะ เพราะถ้าโยรักบีและคบบีได้นานขนาดนี้โยต้องรู้จักความเป็นบีจริง ๆ และโยเชื่อว่าวันนี้บียังใช้อารมณ์ในการตัดสิน ยิ่งเรื่องอดีตของโยที่บีนำมาพูดใหม่อีกครั้ง ถ้าบีพูดด้วยความจริงใจ พูดด้วยความเป็นห่วงจริง ๆ โยจะรู้สึกซึ้งใจมาก ที่หลายต่อหลายครั้งบีออกมาปกป้องโย แต่โยอยากให้บีพูดด้วยความรู้สึกนั้นจริง ๆ ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง"
เรื่องนี้มีคนอยู่เบื้องหลังไหม ?
"ขอไม่พูดนะคะ แต่อย่างที่โยบอก บีคนที่โยเคยรู้จักไม่เคยเป็นแบบนี้"
จริงไหมที่เบ็ดเสร็จแล้วธุรกิจนี้มีรายได้ประมาณ 40 ล้านบาท ?
"ขอไม่พูดตัวเลขตรงนี้นะคะ แต่เชื่อว่าจากที่พูดไปทั้งหมดก็น่าจะคำนวณกันได้"
ล่าสุดที่ร่วมงานกับบนรันเวย์รู้สึกยังไงบ้าง ?
"อึดอัดค่ะ เพราะคนที่อยู่รอบด้านเราเขาจะรู้สึกกดดัน เมื่อก่อนโยบีไปไหนรอบข้างจะมีสีสัน เพราะว่าเราสนุก เราตลก แต่ว่าวันนี้เรานั่งกันอยู่คนละมุม เหมือนมุมแดงกับมุมน้ำเงินที่พร้อมจะเข้ามาฟัดกันตลอดเวลา ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นเลย"
สุดท้ายอยากจะฝากบอกอะไรถึงเขาบ้างไหม ?
"โยอยากเห็นบีมีความสุข อยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่บีทำออกมาและทำให้ตัวบีมีความสุข เพราะโยเชื่อว่าทุกวันนี้สิ่งที่บีทำอยู่บีไม่มีความสุขเลย เนื่องจากคนรอบข้างบีบอกโยอยู่ทุกวันว่าบีโทรหาใครบ้าง บีกลุ้มใจแบบไหนบ้าง ดึก ๆ ดื่น ๆ บีก็ไม่หลับ ถ้าคนมีความสุขกับสิ่งที่ทำจริงคุณบีต้องนอนหลับได้ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ดังนั้นโยเองก็อยากให้คุณบีถามตัวเองดูว่าวันนี้สิ่งที่คุณบีต้องการคืออะไร และถ้าสิ่งนั้นโยให้ได้โยก็พร้อมและยินดีทำให้ทุกอย่างค่ะ"