"ดร.โด่ง องอาจ" เปิดใจ กรณีสื่อยักษ์กีดกันนักข่าว
เมื่อช่วงบ่าย (4 พ.ค.) ที่ผ่านมา ดร.โด่ง องอาจ สิงห์ลำพอง กรรมการผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ดิจิตอลทีวี บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้เปิดใจกรณีที่สถานีโทรทัศน์ช่องใหญ่ กีดกันนักข่าวของช่อง 8 ไม่ให้เข้าร่วมทำข่าวในงานครบรอบ 45 ปี ช่อง 3 เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล หลังจากที่ดร.ได้โพสต์ข้อความลงอินสตาแกรมส่วนตัว ติติงถึงการทำงานที่ไร้จรรยาบรรณสื่อของช่องยักษ์ใหญ่
โดยผู้บริหารคนเก่งเล่าให้ฟังว่า ขอเท้าความว่าตอนที่มีการแข่งขันกีฬาตนอยู่ระหว่างไปทำงานที่ประเทศเกาหลี ตนก็เช็กงานจากอินเตอร์เน็ตแล้วเห็นรายการข่าวเป็นภาพนิ่งในการรายงานข่าวของนักแสดง เลยสอบถามไปได้ความว่า นักข่าวของช่องขอบัตรสต๊าฟสำหรับสื่อ 2 ครั้งสำหรับเข้าไปทำข่าวที่กำลังเป็นประเด็น ทางนั้นก็บอกว่าไม่สะดวกและไม่มีพื้นที่ ซึ่งตนได้ดูภาพทั้งหมดแล้วว่าสนามราชมังคลาฯใหญ่มาก เลยทำให้ตนเกิดข้อสงสัยว่าที่สำหรับนักข่าว 2 คนจะไม่มีให้เลยหรือ สรุปเรื่องก็ออกมาแบบนี้ ตนเลยรู้สึกไม่ชอบมาพากล
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่บังไมค์ตั้งแต่ครั้งนั้น ซึ่งมันก็จะสิ่งที่มากระทบเรื่อยๆตลอดเวลา โดยมีผลที่เกิดขึ้นมาจากการสัมภาษณ์แบบนี้บ่อยๆ แต่ก็ยอมรับได้ถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล นักแสดงอาจจะไม่สะดวกให้สัมภาษณ์กับทางช่อง 8 จากนี้ตนมองว่าเป็นงานส่วนตัวของสถานีเขา แต่การที่คุณออกอากาศแล้วเรียกสื่อไป สุดท้ายคุณก็ต้องการให้ออกสู่สาธารณะ ตนมองในมุมนี้มากกว่า หลายคนบอกว่างานบ้านเขา ถ้าเขาไม่ให้ไปก็ไม่ต้องไป ตนมองว่ามันเป็นจุดเริ่มของความคิด เราในฐานะสื่อมวลชน ถ้ามีความคิดกับสื่อมวลชนด้วยกันในมุมแบบนี้ ตนมองไม่เห็นว่าสิ่งที่เราจะเสนอกับมวลชนมันจะออกมาเป็นยังไง แม้แต่สื่อมวลชนที่เห็นหน้ากันทุกวันยังมีระบบความคิดด้วยกันแบบนี้
สำหรับสำนักข่าวอื่นที่ไม่ได้ข่าวร่วมทำข่าวเหมือนช่อง 8 แต่ไม่ได้ออกมาเรียกร้องนั้น ดร.โด่งเผยว่า มองเป็นเรื่องของแต่ละคน ในฐานะสื่อมวลชนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องสิทธิของตัวเอง ทุกคนในฐานะสื่อก็ต้องการสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าว ถ้าใครไม่เรียกร้องก็เป็นสิทธิเสรีภาพของเขาที่แฮปปี้ในจุดนั้น สำหรับตนเป็นคนชัดเจน อะไรที่เรียกร้องได้ในความถูกต้อง ก็จะทำ สำหรับตนไม่ได้ต้องการสร้างกระแสใดๆ เพียงอยากจะบอกว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเราเท่านั้นเอง
ถามว่ากลัวมีปัญหายืดเยื้อหรือไม่ ในมุมของตนถ้านับจากครั้งแรกมาถึงครั้งนี้ ก็ไม่ได้มองว่ายืดเยื้อเพราะเราก็ทำงานของเราต่อ แต่เมื่อมีผลกระทบมาเรื่อยๆก็ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง เมื่อถึงจุดนึงที่รับไม่ได้ เราก็อยากจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ส่วนจะยืดเยื้อหรือไม่ ก็บอกไม่ได้จนกว่าทุกอย่างจะเท่าเทียมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ส่วนเรื่องจะมีการติดต่อพูดคุยกับทางผู้บริหารฝ่ายนั้นหรือไม่นั้น ตนมองว่าไม่เป็นจำเป็นเพราะต่างคนต่างทำธุรกิจ เวลาเราเปิดสาธารณะเรื่องข่าว ทางตนก็ส่งข้อมูลให้กับสถานีอยู่แล้ว ไม่จำกัด จะมาหรือไม่มาก็เป็นสิทธิซึ่งเข้าใจได้
หลังจากที่ดร.โด่งออกมาโพสต์ข้อความในไอจี ก็จะมีนักแสดงของช่อง 3 ออกมาโพสต์ตอบโต้เหมือนกัน ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า เรื่องของคำพูดถามว่าแรงไหม ฟังดูก็แรง ในฐานะที่น้องก็เคยทำงานช่อง 8 ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่คนให้กำเนิดแต่เราก็เคยเลี้ยงดูกันมา แม้กระทั่งเวลาแม่ครัวทำกับข้าวให้กินในกองถ่าย เมื่อตนกินเสร็จก็จะยกมือไหว้ รู้สึกว่ามันเป็นบุญคุณ แม้แต่จานเดียวก็เถอะ เราไหว้พ่อ แม่ แต่เราก็ไหว้แม่ครัวได้ เรื่องของความสัมพันธ์แบบนี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องตระหนักอยู่แล้ว ส่วนจะแรงหรือไม่ ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของคนอ่าน หลายคนถามว่าความจริงคืออะไร ก็ดูที่โพสต์แล้วกัน สิ่งที่ผมโพสต์มันคือความจริงเพราะมันยังอยู่ในโซเชียล แต่ส่วนอื่นถ้ามันไม่อยู่ในโซเชียลในวันนี้ ผมก็คงไม่ใช่ความจริง มันถึงได้หายไปจากสังคม สุดท้ายสังคมจะเป็นคนตัดสินเองว่าอะไรจริง ไม่จริง
สำหรับมาตรการแก้ไขถามว่าจะแบนไม่สัมภาษณ์นักแสดงของช่องที่มีปัญหาหรือไม่ ดร.โด่งตอบชัดเจนว่า ถ้าตนทำอย่างนั้น ก็ไม่ต่างกับสิ่งที่ตนโดนกระทำ เราพยายามปกป้องสิทธิเสรีภาพของตัวเอง เราก็ไม่ควรจะริดรอนสิทธิเสรีภาพของคนอื่น ให้โอกาสทุกคน ตนว่าดาราในเมื่อเข้ายืนในพื้นที่นี้ ไม่ว่าค่ายหรือสังกัดไหน ตนว่าเขายอมรับในความเป็นสาธารณชนแล้ว ฉะนั้นคนอื่นก็สามารถรับรู้เรื่องราวของคุณได้
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ