จะเอารายได้แลกกับหายนะหรือไม่..?

จะเอารายได้แลกกับหายนะหรือไม่..?

จะเอารายได้แลกกับหายนะหรือไม่..?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยังเป็นประเด็นร้อนสำหรับแนวคิดการเสนอให้ประเทศไทยตั้งบ่อนคาสิโน หรือ บ่อนเสรี หลังจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอมา แล้ว พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ออกมาขานรับเต็มสูบ โดยประเด็นหลักในการนำเสนอมุ่งตรงไปเรื่องของรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำจากวงการพนัน ซึ่งมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาทต่อปี และ ข้ออ้างที่ว่า การพนันอยู่ในสายเลือดของคนไทยไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้

จริงๆ การหารายได้จากวงการพนัน เป็นเรื่องข้อเท็จจริงว่า มีมูลค่ามหาศาล แต่ในแง่ผลกระทบทางสังคมจะถึงขั้นไหนยังไม่อาจทราบได้ แต่รู้หรือไม่ว่า แนวทางการเปิดเสรีบ่อนการพนันเคยมีมาช้านาน ตั้งแต่ยุคกลางของรัตนโกสินทร์ แต่ด้วยผลกระทบที่อาจทำให้เกิดหายนะทั้งแผ่นดินในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านได้เล็งเห็นและยกเลิกบ่อนการพนันเสียเพื่อไม่ให้สังคมไทยต้องตกต่ำลงไป

เรื่องนี้ ขอยกบทความข้อเท็จจริงที่ อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลเพื่อคัดค้านแนวคิดการตั้งบ่อนเสรี หรือ คาสิโน หรือเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรริเริ่มแนวคิดจะจัดตั้ง และ ส่งต่อมาในยุครัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช รวมถึงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

โดย ดร.เจิมศักดิ์ ได้เขียนบทความเรื่อง "เปิดบ่อนกาสิโน จนเงินหรือจนปัญญา?" ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ในคอลัมน์ขอคิดด้วยคนเมื่อเดือนตุลาคม 2011(2554) ซึ่งขอยกข้อมูลบางส่วนบางตอนที่อาจารย์นำเสนอเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องบ่อนการพนัน ในอดีตที่น่าสนใจยิ่งมาเสนออีกครั้ง เพื่อช่วยกันคิดว่า เหตุผลที่ต้องการเงิน หรือรายได้ กับ หายนะของสังคมไทย จะเป็นอย่างไรตามแนวคิดของ ในหลวงรัชกาลที่ 5

"หากเข้าใจว่าประเทศไทยไม่เคยมีบ่อนกาสิโนอย่างถูกกฎหมาย ย่อมเป็นความเข้าใจผิดมหันต์

ในความเป็นจริง เราเคยมีบ่อนถูกกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบ่อนจะได้รับชื่อบรรดาศักดิ์ว่า "ขุนพัฒนสมบัติ" สมัยนั้นทางการสามารถเก็บอากรบ่อนเบี้ยได้ปีละ 260,000 บาท

ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ยังได้กำหนดภาษีการพนันเพิ่มขึ้นจากอากรบ่อนเบี้ย และสามารถเก็บภาษีได้ปีละ 500,000 บาท กระทั่งในปี พ.ศ.2413 เฉพาะในแขวงกรุงเทพฯ ก็ยังมีบ่อนใหญ่ประจำอยู่ 126 ตำบล และยังมีบ่อนเบี้ยขนาดเล็กอีกประมาณ 277 ตำบล

แต่ในที่สุด ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลิกบ่อนการพนัน ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า การมีราษฎรมัวเมาในการพนันย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ในความมั่นคงของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปรับปรุงงานพระคลัง เพื่อหารายได้อื่นมาทดแทนรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย โดยมีประกาศเริ่มลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆ จนเหลือบ่อนอยู่เพียง 9 ตำบล ในพ.ศ.2453 แต่กว่าจะเลิกบ่อนกาสิโนในประเทศไทยได้ ก็แสนยากลำบาก กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงได้มีประกาศปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2460

พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริหลายประการเกี่ยวกับบ่อนการพนัน ซึ่งพสกนิกรอย่างพวกเราน่าจะน้อมใส่เกล้า เช่น เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ไปเมืองมอนติกาโล เมืองแห่งการพนัน ทรงเรียนตำราเล่นการพนันต่างๆ ในกาสิโน และทรงบันทึกในพระราชหัตถเลขา ดังพระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 5 พระราชทานกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ.2450 ความบางตอนว่า

"...ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจ ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไรๆหมด ถ้าชาวบางกอกได้รู้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที"
นอกจากนี้ พระปิยะมหาราชยังทรงอรรถาธิบายถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องเลิกบ่อนเบี้ยการพนันไว้ในพระราชนิพนธ์ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพพลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ความบางตอนว่า

"การที่พระเจ้าแผ่นดินอนุญาตหรือทรงเห็นดีด้วยในเรื่องเล่นเบี้ย นี้ก็คงจะเป็นความจริง แต่คงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบางองค์... เพราะเหตุฉะนั้นถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินภายหลังจะมิได้เลิกธรรมเนียมยกหัว เบี้ยพระราชทาน ในเวลาตรุษเวลาสงกรานต์เสียก็ดี แต่ก็ไม่ได้โปรดให้เล่นเบี้ยในพระราชวังหรือทรงสรรเสริญการเล่นเบี้ยว่าเป็น การสนุกสนานอย่างหนึ่งอย่างใดเลย

เพราะเหตุที่พระบรมราชวงศ์ปัจจุบันนี้ พระเจ้าแผ่นดินดำรงอยู่ในคุณความประพฤติดี 3 ประการ คือ ไม่ทรงประพฤติและทรงสรรเสริญในการที่เป็นนักเลงเล่นเบี้ยการพนันอย่าง 1 ไม่ทรงประพฤติในการดื่มสุราเมรัยและกีดกันมิให้ผู้อื่นประพฤติอย่าง 1 ไม่ทรงประพฤติล่วงในสตรีที่เป็นอัคคมนิยฐานนี้อย่าง 1 เป็นความประพฤติซึ่งพระเจ้าแผ่นดินในพระบรมราชวงศ์นี้ได้ทรงงดเว้นเป็นชาติสืบๆ กันมา พระบรมราชวงศ์นี้จึงได้ตั้งปกครองแผ่นดินอยู่ยืนยาวกว่าบรมราชวงศ์อื่นๆ ซึ่งได้ปกครองแผ่นดินมาแต่กาลก่อนแล้ว บ้านเมืองก็เจริญสมบูรณ์ปราศจากเหตุการณ์ภายในซึ่งจะให้เป็นที่สะดุ้งสะเทือนหวาดหวั่นแก่ชนทั้งปวง

แต่การเล่นเบี้ยนั้น เป็นที่ไม่ต้องพระอัธยาศัยมาทุกๆ พระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ควรที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ซึ่งมีความนับถือเคารพต่อพระบารมีและพระ เดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินสืบๆ กันมา ควรจะคิดตริตรองให้เห็นโทษเห็นคุณตามที่จริง และงดเว้นการสนุก และการหาประโยชน์ในเรื่องเล่นเบี้ยนี้เสีย จะได้ช่วยกันรับราชการฉลองพระเดชพระคุณทะนุบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ย ซึ่งอบรมอยู่ในสันดานชนทั้งปวงอันอยู่ในพระราชอาณาเขต เป็นเหตุจะเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไป

ด้วยกำลังที่ช่วยกันมากๆ และเป็นแบบอย่างความประพฤติให้คนทั้งปวงเอาอย่าง ตามคำนักปราชญ์ย่อมกล่าวว่า การที่ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างง่ายกว่าที่จะสั่งสอนด้วยปาก ถ้าเจ้านายขุนนางประพฤติเล่นเบี้ยอยู่ตราบใด คนทั้งปวงก็ยังเห็นว่าไม่สู้เป็นการเสียหายมาก ผู้มีบรรดาศักดิ์จึงยังประพฤติอยู่ ถ้าผู้มีบรรดาศักดิ์ละเว้นเสีย ให้เห็นว่าความพยายามเช่นนั้นเป็นของคนต่ำช้าประพฤติแล้ว ถึงแม้จะเลิกขาดสูญไปไม่ได้ก็คงจะเบาบางลงได้เป็นแท้.."

มาวันนี้ ในยุคที่บ้านเมืองต้องการปฏิรูปประเทศ แต่ยังมี สมาชิกปฏิรูปประเทศกล้าเสนอแนวคิดการพัฒนาประเทศโดยการพนัน และ ผู้นำองค์กรรักษากฎหมายสูงสุด อย่างผบ.ตร.ออกมาขานขับ ก็อยากให้กลับไปอ่านแนวทางแนวพระราชวินิจฉัยเรื่องการพนัน ตามที่ยกมาจากบทความของดร.เจิมศักดิ์อีกสักครั้ง ...หรือหลายๆ...แล้วท่านยังจะยืนยันเดินหน้าตั้งบ่อนคาสิโนอีกหรือไม่ ....ท่านยังหวังรายได้เพื่อแลกกับหายนะของประเทศชาติอีกหรือไม่.......?

...เปลวไฟน้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook