เมื่อใส่เสื้อแดงแผลงฤทธิ์ไม่ได้ ก็กลับไปแกล้งตายดีกว่า...
ทำท่าว่าจะเป็นประเด็นร้อนตอนรับเดือนพฤศจิกายน แต่แล้วกลับล้มไม่เป็นท่า สำหรับการปลุกกระแสชวนใส่เสื้อแดงรวมตัวให้กำลังใจอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ นายกฯปู ในวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เมื่อวานนี้ ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.ออกมาปราม บอกไม่มีการนัดหมายใดๆ ทั้งสิ้นจากกลุ่ม นปช. แถมปรามาส การปลุกกระแสดังกล่าวประมาณว่า ไม่ทันเกมฝั่งตรงข้าม จะมีแผนซ้อนเพื่อปราบให้เบ็ดเสร็จอะไรทำนองนั้น
แต่จะว่าไป ก่อนหน้าเมื่อมีกระแสปลุกกันในสังคมโซเชียลนั้น นับว่ามีความหวือหวาพอสมควร การแพร่กระจายข่าวกัน ร้อนแรงจนฝ่าย คสช.ต้องจับตาดูและออกมาปรามในทำนองไม่อยากให้ทำให้เกิดกระแสขัดแย้งขึ้นมาอีก อยากให้เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมาย แต่ที่ดูมีน้ำหนักสุดก็ต้องเป็นการประกาศของพี่ใหญ่อย่างบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ค่อนข้างดุดันพอสมควร
การประกาศล้มแผนใส่เสื้อแดงให้กำลังใจนายกฯปู เรียกร้องความเป็นธรรมกรณีจะถูกคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายจากโครงการจำนำข้าว หลายแสนล้านบาท แม้จะออกจากปากของตู่ จตุพร ในทำนองว่าไม่เคยเป็นแนวทางของ นปช. แต่ หากมองปรากฏการณ์ที่ผ่านมา ไม่มีทางที่ แกนนำ นปช.ไม่รู้เรื่องราวดังกล่าว
เพราะการออกมาสนับสนุนจากแกนนำระดับ นายรชัย เหมะ หรือ การออกมาแอ็คชั่นในเรื่องความเป็นธรรมกรณีค่าเสียหายจำนำข้าว จากแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายๆ คนที่ผ่านมา ต้องการสื่อไปยังกลุ่มที่สนับสนุน และได้ประโยชน์จากโครงการจำนำข้าวโดยตรง
แต่การเปลี่ยนแผนกะทันหัน น่าจะมาจากการประเมินสถานการณ์แล้วว่า กระแสไม่น่าจะขึ้นได้มากพอ เพราะโดยธรรมชาติของกลุ่มการเมืองของตัวเองมีหรือที่แกนนำจะไม่รู้กระจ่างว่า จะสามารถปลุกกระแสด้วยเรื่องดังกล่าวได้หรือไม่ ที่ผ่านมา การจัดการการชุมนุมมีค่าบริหารจัดการไม่น้อยหากครั้งนี้ไม่ลงมือลงแรงเต็มกำลัง น่าจะยากที่จะปลุกกระแสได้ ยิ่งในช่วงสถานการณ์แบบนี้ คสช.มีการประเมินและเกาะติดความเคลื่อนไหวตลอด มีหรือจะปล่อยให้มีการปลุกกระแสด้วยวิธีการเดิมๆ ได้ง่ายๆ
และจากบทเรียนของกลุ่มที่คัดค้าน คสช. ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ากระแสค่อนข้างน้อย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ใจ กลุ่มที่รักหลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็ไม่สามารถปลุกกระแสต่อต้าน คสช.ได้มากนัก มีเพียงหยิบมือเดียว
ดังนั้น การล้มแผน เสื้อแดง กลับไปสู่แผน แกล้งตาย รอจังหวะการเมืองเปลี่ยนจึงเป็นแนวทางที่ดีกว่า ส่วนคดีความการเรียกค่าเสียหาย ก็ใช้ช่องทางทางกฎหมายยื้อเอาไว้ให้นานที่สุด น่าจะเป็นทางออกที่สวยกว่า เพื่ออนาคตเมื่อมีการเลือกตั้ง หากมีโอกาสกลับมากุมอำนาจได้อีกครั้ง ค่อยหาช่องทางแก้ไขสถานการณ์ ดีกว่า....
โดย...เปลวไฟน้อย