Exclusive เบื้องหลังชีวิตที่ไม่มีใครรู้ "ไข่มุก The Voice" กับบทบาทอาสากู้ชีพ
เป็นอีกหนึ่งสาวหน้าสวยเสียงดีที่น่าจับตามองสุดๆ ในชั่วโมงนี้บนเวที "The Voice Thailand Season 4" สำหรับสาวน้อย "ไข่มุก รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช" หรือ "ไข่มุก The Voice" ที่สร้างความฮือฮาด้วยการนำเพลง "ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน" มาร้องและเพียงเวลาชั่วข้ามคืนชื่อของเธอก็กลายเป็นที่กล่าวขานและมีผู้ชมเข้าไปชมผลงานของเธอในยูทูปจนยอดวิวพุ่งถล่มทลายจนกลายเป็น "ไข่มุก ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน" ที่เรียกกันติดปากในเวลานี้
และเบื้องหน้าที่เห็นหน้าสวยๆ และเสียงหวานๆ หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงว่าสาวน้อย "ไข่มุก" คนนี้ยังมีบทบาทการทำงานเป็นอาสากู้ชีพเพื่อสังคม ซึ่งอะไรคือจุดเริ่มต้นให้เธอมีความสนใจกับงานอาสานั้น สัปดาห์นี้ทีมข่าว Sanook! News จึงขอนำตัวเธอมาบอกเล่าและพูดคุยถึงชีวิตการเป็นอาสากู้ชีพแบบเจาะลึก รวมทั้งชีวิตครอบครัวของเธอหลังจากกลายเป็นคนดังแบบข้ามคืนของเธอนั้นมีอะไรเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน รับประกันว่าการเปิดใจครั้งนี้จะทำให้คุณทึ้งกับเด็กสาวคนนี้อย่างแน่นอน
จุดเริ่มต้นการทำงานอาสากู้ชีพ
เป็นคำถามแรกที่เราอยากทราบถึงคำตอบถึงการเป็นอาสากู้ชีพโดยเธอบอกว่าเกิดจากการสุญเสียเพื่อนคนสนิทตอนช่วงเรียนมัธยมศึกษาด้วยอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์แบบต่อหน้าและเพื่อนนอนจมกองเลือดแต่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้นั้นจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจของการเข้าไปทำงานอาสา "มันช็อคมากจำได้ว่ากรี๊ดลั่นเลย แต่ก็ทำไรไม่ได้ช่วยเขาไม่ได้เลยตอนนี้และก็มาคิดว่าอยากทำงานตรงนี้เพื่อช่วยคนตอนนี้ทำมาเกือบครึ่งปีแล้วค่ะ ได้เขาไปทำงานตรงนี้ได้เพราะหนูรู้จักกับพี่ที่ร้องเพลงเหมือนกันก็ไปส่องไอจีเขา เห็นเขาทำกู้ภัยก็บอกเขาอยากทำพี่เขาก็พาไปทำ" เธอเล่าด้วยสีหน้ามุ่งมั่นพร้อมกับเล่าต่อถึงงานอาสากู้ชีพว่าเคสแรกของงานอาสากู้ชีพนั้นเริ่มทำที่กรุงเทพเป็นคนยิงกัน
"ตอนนั้นยังไม่ได้ทำไรมากค่ะแค่ถือกระเป๋ายา ดูเขาเฉยๆ แต่ได้ไปทำจริงๆ ที่อุดรธานี เคสแรกที่นั่นเห็นแล้วปลงเป็นคุณตาเป็นเบาหวานสารพัดโรคแล้วเท้าเป็นแผล ลูกก็ไปทำงานกรุงเทพกันหมด อยู่ในตึกที่มีแค่ที่นอนเก่าๆ มุ้งกับพัดลมไม่มีใครดูแลเลย เคสที่สองก็เจอคนตายเมาแล้วทะเลาะกับเพื่อนหรือเปล่าไม่แน่ใจ แล้วเหมือนเขาน้อยใจอะไรก็ขับรถไปชนตอหม้อสีห้าอันก็คือเละเลยยืนนิ่งคิดในใจจะกลัวหรือไม่กลัวกลัวก็ไม่ต้องทำ ก็เลยเดินไปเอาเปลผ้าขาวมาแล้วก็ห่อผ้าขาวก็คิดให้เขาไปที่ดีๆ ที่สวยๆ ไปสู่สุขคติค่ะ"
แม้จะรู้ว่าเป็นงานอาสาไม่มีค่าตอบแทนใดๆ แต่สาวน้อย "ไข่มุก" ก็มุ่งมั่นและตั้งใจจะทำงานด้านนี้ด้วยเหตุผลสั้นๆ ที่เธอบอกว่าใจมันอยากทำ "ทำแล้วมันก็ไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรแต่แค่รู้สึกว่าใจอยากทำตลอด เวลาที่เครียดๆ พอไปอยู่ตรงนั้นมันก็คิดแค่ว่าอยากช่วยคน พอมีเสียงกดกริ่งทุกคนจะวิ่งขึ้นรถไปกันเลย ตั้งใจไปจริงๆ ถามว่าได้อะไรกับงานอาสากู้ชีพมันอาจจะดูเหมือนไม่ได้อะไรแต่จริงๆ มันได้โดยตรงเราโตขึ้นปลงกับสิ่งรอบข้างได้ช่วยเหลือ ก็เหมือนได้บุญ สบายใจในการทำงานตรงนี้ค่ะ ก็คิดว่าจะทำไปตลอดว่างก็ไปให้ได้ไม่ทิ้งงานตรงนี้แน่นอนเพราะมันอยากทำอยู่ตลอดค่ะ"
ครอบครัวจุดประกายชีวิตต้องสู้
เด็กสาวในวัยยี่สิบต้นๆ แต่มีความคิดจิตใจที่เสียสละเพื่อสังคมนั้นเชื่อว่าพื้นฐานหลักๆ ของการเป็นผู้มีจิตใจ คิดดี ทำดี พูดดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า "ครอบครัว" และ "การเลี้ยงดู" ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่คอยหล่อหลอมเธอเป็นคนรู้จักเสียสละทำความดี และถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์เพราะพ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็กแต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกขาดความรักใดๆ แต่กลับคิดว่าต้องตอบแทนพ่อแม่ให้อยู่สบายที่สุดเมื่อโตขึ้นมา
"แม่จะสอนตลอดตั้งแต่เด็กจนโตว่าไม่ให้ลืมตัวแม่จะบอกเสมอว่าเรียนไม่ต้องเก่งมากก็ได้ แค่ตั้งใจเรียน เรียนให้จบ มีงานทำเท่านั้นก็พอ จำได้ว่าช่วงประถม มีช่วงที่พ่อเลิกกับแม่ด้วย ตอน ป.3 ป.4 พ่อไม่ได้อยู่ด้วยแล้วแม่มีน้องแต่แม่ก็ยังทำงานอยู่ทำยันเจ็ดเดือน แม่ก็บ่นนะว่าไม่มีตังค์แต่ก็ยังมีให้ลูกไปโรงเรียนอยู่ทุกวัน
พอเรียนถึง ม.ต้น ก็เลยไปเข้าชมรมนาฏศิลป์ก็มีรับงานเต้นวันละ 200-300 บาท อยากช่วยแม่เหมือนแม่เหนื่อยอยู่คนเดียว ถ้ามันมีงานให้หนูทำหนูก็อยากทำรับจ้างถอนหงอกสี่เส้นบาท ล้างจานเอาทุกอย่างที่เพื่อช่วยแม่เห็นแม่เหนื่อยมาเยอะค่ะ จึงอยากทำให้แม่สบายไม่ใช่ทำร้ายแม่จนแล้วยังจะขอตังค์คือแม่จะปลูกฝังตลอดว่าเรามีแค่ไหนเราต้องรู้ตัวนะ ไม่ใช่อยากได้ของตุ๊กตาตัวแพงๆ อะไรต้องได้ ต้องรู้ตัวเองนะ"
ต่อเนื่องจากความตั้งใจที่อยากจะช่วยแม่หารายได้แล้วนั้นสาว "ไข่มุก" จึงเลือกทำงานพิเศษร้องเพลงและเต้นตามงานจ้างต่างๆ ในช่วงปิดเทอมและนั้นก็เปรียบเหมือนสนามฝึกการร้องเพลงของเธอให้มีประสบการณ์จนก้าวมาสู่เวที The Voice แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้เธอนั้นต้องผ่านการเดินสายประกวดเวทีต่างๆ จากรายการดังมากมายรวมถึงการเป็นแชมป์เงาเสียงนักร้องลูกทุ่ง "หลิว อาจารียา" จนมาสู่เวที The Voice Thailand Season 4
"หนูนอนอยู่ห้องโง่ๆ เลยค่ะ แล้วพี่แป้ง The Voice นี่แหละค่ะเขาขอเบอร์หนูไปให้ไปออดิชั่นหนูก็ยังไม่ไปนะ คิดว่าใหญ่เกินไป ไปไม่ได้หรอก จนวันรับสมัครวันสุดท้าย เขาก็โทรจิกๆ ไปดิๆ หนูก็เลยไปก็ได้ ก็ไปส่งใบสมัครพอถึงวันออดิชั่นก็ไปร้องเพลงความรักเจ้าขาเป็นเพลงลูกทุ่ง แล้วก็ได้สัมภาษณ์ต่อเลยแล้วพอเขาประกาศในเน็ตให้ใส่ชื่อหนูกำลังจะใส่ชื่อแต่ก็แบบไม่ใส่ดีกว่านอนต่อหลับอยู่ มีทีมงานโทรมาไข่มุกเข้ารอบนะคะ
หนูก็พึ่งตื่นก็งงอะไรคือ The Voice เขาก็บอกไม่ดีใจเลยหรอ หนูก็ดีใจค่ะหนูกำลังงงอยู่ พอเขาวางสายไปนึกขึ้นได้ก็กรี๊ดเลยโทรหาแม่ และก็ไม่คิดว่าจะมาถึงขนาดนี้หนูเป็นคนไม่คาดหวัง จะแค่โฟกัสที่ตัวเราทำให้ดีที่สุดมีสติตอนซ้อมเราก็ซ้อมของเราตอนอยู่บนเวทีจริงถ้าเรามัวไปโฟกัสว่าคุณต้องหันมาๆ อารมณ์เพลงมันเปลี่ยนทันที
มันต้องอยู่กับตัวเองทำให้ดีพอไม่ต้องไปคาดหวังอะไร ส่วนมากคนจะคาดหวังพอมันไม่ได้อย่างที่คาดมันก็ไม่มีความมั่นใจมันก็ไม่โอเคค่ะสำหรับหนูนะ คิดสบายๆ แบบได้ยังไงก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ไม่เป็นไร อยู่กับตัวเราเองค่ะกว่าจะได้ตรงนี้ ต้องผ่านจากกี่หมื่นคนภูมิใจแล้วค่ะ"
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ