“ปรองดอง” ไม่ได้ หากไม่นิรโทษกรรม..?

“ปรองดอง” ไม่ได้ หากไม่นิรโทษกรรม..?

“ปรองดอง” ไม่ได้ หากไม่นิรโทษกรรม..?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แนวทางที่จะทำให้สังคมเดินหน้าไปสู่ความปรองดอง...ในสังคมไทย เป็นเรื่องที่ยากที่จะเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน เพราะ ไม่ว่าจะหยิบประเด็นแนวทางการสร้างความปรองดองขึ้นมา..จะจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และ คัดค้านอยู่ทุกครั้งไป

เช่นกันครั้งนี้ เมื่อปรากฏ แนวทางการสร้างความปรองดองของชาติขึ้นมา มีข้อเสนอตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข มุ่งเน้นแสวงหาความปรองดอง โดยจำนวนกรรมาธิการมี 24 คน ประกอบด้วย สนช. 14 คน และผู้เห็นต่างที่มีแนวคิดสันติวิธี รวมถึงผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมและกลุ่มผู้เห็นต่างอีก 10 คน ก็มีความเห็นออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยขึ้นมาอย่างชัดเจน

ในซีกของพรรคเพื่อไทย ได้แสดงออกถึงจุดยืนชัดว่า แนวทางนี้ไม่นำไปสู่การสร้างการปรองดองได้ โดย อำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี แสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวว่า

" อย่าไปทำให้เสียเวลา เปลืองสมองระดมความคิด เพราะพูดกันมามากแล้ว ต่างคนต่างก็ยึดจุดยืนเดิมตัวเอง พูดกันใหม่ก็ไร้ค่า หนทางแก้ง่ายๆคือให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใช้มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ประกาศไปเลยว่าทุกคนต้องปรองดองอย่างจริงจัง นิรโทษกรรมเหตุการณ์การเมืองย้อนหลังไปตั้งแต่เริ่มปี 2548 ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกสี"

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. บอกว่า ....คณะกรรมการปรองดองมีสถานะเพียงเครื่องช่วยอธิบายของผู้มีอำนาจว่ามีการดำเนินการเรื่องนี้ การบอกว่าต้องเอาทุกฝ่ายที่เป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง เช่น นปช. กปปส. หรือพรรคการเมืองต่างๆ มาตั้งวงคุยกันก็ไม่ตรงกับสภาพปัญหา เพราะในทรรศนะของตนนั้น กลุ่มคนดังกล่าวไม่ใช่เหตุ แต่เป็นผลของความขัดแย้งหลัก ระหว่างแนวคิดอนุรักษนิยมกับเสรีนิยมที่สู้กันมาตั้งแต่ปี 2475 หัวใจของการปรองดองจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่การทำให้หลักการประชาธิปไตยเข้มแข็งเพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ภายใต้กติกาที่เป็นสากล.....

"ฝากถึง สนช.หลายคนอย่ามัวไล่ตอบโต้คนวิจารณ์การตั้งคณะกรรมการ แต่ควรใช้เวลาของสภาเชิญกรรมการปรองดองที่ตั้งมาแล้วทุกชุด มานำเสนอว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง และมีผลคืบหน้าอย่างไร ที่สำคัญคือ ไปถามแป๊ะให้ชัดว่าจะปรองดองกันจริงๆ หรือ พูดไปพลางเล่นงานฝ่ายตรงข้ามไปพลางจนกว่าจะสิ้นซากไป ผมไม่เชื่อว่าการปรองดองจะเกิดขึ้นบนเรือแป๊ะที่ทุกคนมีหน้าที่ตามใจแป๊ะได้ ต้องทำตามหลักการประชาธิปไตยเท่านั้น วิกฤตจึงพบทางคลี่คลาย"

ชัดเจนว่า ในส่วนของเพื่อไทย และ นปช. มองว่า แนวทางที่จะสร้างความปรองดอง ตามที่สนช.เสนอมา ไม่ใช่ทางออก..และชัดเจนว่า สิ่งที่เขาต้องการคือ การนิรโทษกรรม.....

สรุปง่ายๆ คือ หากจะให้ปรองดองก็ ล้างความผิดให้พวกเขาเสียจึงจะนำไปสู่การปรองดอง... นี้คือหัวใจสำคัญที่ทางเพื่อไทยและ นปช.พยายามเดินหน้ามาโดยตลอด...

เป้าหมายการล้างความผิดให้ตัวเองและพวกพ้องนี้เอง...ที่เป็นชนวนของความขัดแย้งครั้งใหญ่ก่อนที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจ ดังนั้น เมื่อ เป้าหมายไม่เปลี่ยน แนวทางไปสู่การปรองดองก็ยากจะเกิดขึ้น... และเชื่อได้ว่า เมื่อถึงเวลา ปัญหาก็จะปะทุขึ้นมาอีก

สิ่งที่เขาต้องการนั้น แม้จะมีการยกหลักการ ในเรื่องประชาธิปไตย เรื่องความความเท่าเทียม ความยุติธรรม แต่ก็เป็นการยกมาอธิบายความชอบธรรมให้กับตัวเองเสียมากกว่า ...พวกเขาพยายามอธิบายเสียใหม่ว่าการกระทำของพวกเขา เป็นสิ่งถูกต้อง เป็นการกระทำที่เป็นประชาธิปไตย เป็นการกระทำของคนที่เข้ามาสู่ระบบอย่างเป็นประชาธิปไตย การกระทำใดๆ ย่อมชอบธรรม

ดังนั้น หากจะมีเหตุใดๆที่ ทำให้การกระทำของเขาเหล่านั้น ผิด ก็เป็นการกระทำที่มุ่งทำลายไล่ล่าพวกเขาฝ่ายเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นมาอีก และจะนำไปสู่ความขัดแย้งกันอีก...

มองจากท่าทีมุมมองต่อแนวทางการสร้างความปรองดองแล้ว...ก็ต้องบอกว่า...ยากและอีกนานกว่าจะเกิดความปรองดองได้จริงๆ....

เปลวไฟน้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook