พ่อค้าเกาะล้านโร่หาตำรวจ ยันไม่ได้ขู่คนจีนซื้อกระเป๋าหลักหมื่น
กรณีนักท่องเที่ยวจีนแจ้งความถูกพ่อค้าข่มขู่บังคับให้ซื้อกระเป๋าที่เกาะล้าน ล่าสุดตำรวจตามตัวพ่อค้ามาสอบสวน เจ้าตัวยืนยันไม่ได้ข่มขู่ คาดผู้เสียหายกุเรื่องนำเอกสารแจ้งความไปเครมประกัน
จากกรณีเมื่อกลางดึกวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา นายเชน ลี อายุ 43 ปี และ นายซู กุนหมิง อายุ 45 ปี นักท่องเที่ยวชาวจีน พร้อมกับไกด์นำเที่ยว เดินทางเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สมคิด สิทธิศาสตร์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ว่าเมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. วันเดียวกันนั้น ได้ถูกพ่อค้าขายกระเป๋าสะพาย บริเวณชายหาดตาแหวน เกาะล้าน ขู่บังคับให้ซื้อสินค้ากระเป๋าหนังสะพาย รวม 4 ใบ คิดเป็นเงินไทยมูลค่ารวมประมาณ 12,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินจริง และหากไม่ซื้อจะถูกทำร้ายร่างกาย ตัวเองเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงเดินทางเข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ตามที่สื่อมวลชนได้รายงานไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 18.00 น. วันนี้ (14 ม.ค.) พ.ต.อ.สุขทัศน์ พุ่มพันธ์ม่วง ผกก.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวนเดินทางไปตรวจสอบที่หาดตาแหวน พร้อมกับนำตัว นายอภิชา อายุ 45 ปี พ่อค้าขายกระเป๋าที่ถูกนักท่องเที่ยวจีนกล่าวหา มาทำการสอบสวน นายอภิชา ให้การว่า ปกติตนมีอาชีพขายกระเป๋าอยู่ที่เกาะล้านมานานหลายสิบปีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาอะไรกับนักท่องเที่ยว
โดยเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่เกิดเหตุ ไกด์ได้พากรุ๊ปทัวร์ชาวจีนนับ 10 คน เดินทางไปเที่ยวที่หาดตาแหวน ในขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวนั่งอยู่ร่มเตียงชายหาดนั้น ตนได้เดินเข้าเสนอขายกระเป๋าหนังแบบสะพายและเข็มขัดหนังให้ด้วยความสุภาพนอบน้อม ต่อมามีนักท่องเที่ยวชายชาวจีน 2 คน สนใจซื้อกระเป๋าคนละ 2 ใบ และเข็มขัดหนังอีก 1 เส้น โดยทั้งคู่ได้ชำระเป็นเงินสกุลหยวนจำนวน 1,800 หยวน และเงินไทยอีก 2,500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ยุติธรรม ตนขอยืนยันไม่ได้บังคับให้ซื้อหรือข่มขู่จะทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด
ด้าน พ.ต.อ.สุขทัศน์ พุ่มพันธ์ม่วง ผกก.สภ.เมืองพัทยา เปิดเผยว่า กรณีนี้เมื่อมีคนเข้าแจ้งความทางตำรวจก็ต้องทำหน้าที่ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะส่งชุดสืบสวนออกไปตามตัวพ่อค้าขายกระเป๋ารายนี้มาทำการสอบปากคำ พร้อมทั้งสอบสวนพยานแวดล้อม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ซึ่ง นายอภิชา ยืนยันว่าไม่ได้ข่มขู่จะทำร้ายนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด และไม่มีพยานยืนยันว่ามีการกระทำดังกล่าวจริง
นอกจากนี้ยังได้ให้ตำรวจไปตามผู้เสียหายที่พักอยู่โรงแรม ปรากฏว่าได้เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว เบื้องต้นจึงเชื่อว่า ผู้เสียหายน่าจะกุเรื่องขึ้นมาเพื่อนำหลักฐานเอกสารการแจ้งความไปเบิกเอาเงินประกันภัยในประเทศบ้านเกิด จึงอยากฝากเตือนไปยังมัคคุเทศก์และนักท่องเที่ยว ถ้ามีกรณีแจ้งความเท็จไม่ว่าจะกรณีใดๆ หากตำรวจทราบจะดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายทันทีไม่มีข้อยกเว้น