ขีดความสามารถทาง ศก. ภาษีนิติบุคคล และ ภาษีน้ำมันดีเซล
เป็นอันเรียบร้อยโรงเรียน สนช.ไปอีกเรื่องสำหรับการผ่านร่างแก้ไขกฎหมายภาษีจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยสาระสำคัญคือ ลดอัตราการจัดเก็บลงจากเดิม 30% ของกำไรสุทธิ เหลือ 20% ของกำไรสุทธิ
ก็แสดงความยินดีกับบรรดาเจ้าของกิจการนิติบุคคลทั้งหลายกันล่วงหน้า บรรดาเจ้าสัว เจ้าของกิจการขนาดใหญ่คงยิ้มกันแก้มปริ กันเลยทีเดียว ก็หลวงท่านใจดี ลดภาษีลงมาทีเดียว 1 ใน 3 ของอัตราเดิมที่จัดเก็บกันเลย
โดยหลักการการลดภาษีครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยคลัง ท่านสาธยายว่า ก็เพื่อเป็นการดึงดูดการลงทุนให้มากขึ้น ดึงต่างชาติมาลงทุนในประเทศเรามากขึ้น เป็นการสร้าง ความมั่นใจต่อระบบเศรษฐกิจและเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ก็ว่ากันไปในหลักการ ก็คงจะตามนั้น เพราะหากเทียบภาษีอัตราภาษีกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน หรือ เออีซีในปัจจุบัน ซึ่งมีอัตราภาษีดังนี้
กัมพูชา 20% เวียดนาม 25%
ลาว 28% บรูไน 21%
เมียนมาร์ 30% อินโดนีเซีย 25%
มาเลเซีย 25% ฟิลิปปินส์ 30%
สิงคโปร์ 17% ไทย 20% *อัตราใหม่*
จะเห็นได้ว่าอัตราภาษีของเราลงมาต่ำ เท่ากับกัมพูชา ใกล้เคียง บรูไน สูงกว่า สิงคโปร์ ประเทศเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้การลดภาษีเมื่อมีผลบังคับใช้ สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ รายได้รัฐหายไปจากมือทันที 10% (เทียบจากฐานเดิม) นิติบุคคล มีกำไรเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องนำมาเสียภาษีให้รัฐบาล 10% เช่นกัน
ยกตัวอย่าง ให้เห็นชัดๆ เอาตัวเลขของปี 2557 ที่ผ่านมา ปตท.มีกำไรสุทธิ 5.5 หมื่นล้านบาท หากใช้ฐานนี้ และสมมุติว่า ปตท.รักษาระดับกำไรได้เท่าเดิมเพื่อให้ชัดเจน จากภาษีใหม่ที่ปรับลดลง จากเดิม ปตท.เสียภาษี ให้กับรัฐในอัตรา 30% เท่ากับ 16,500 ล้านบาท
แต่เมื่อภาษีลดลงเหลือ 20% เท่ากับ ภาษีที่ ปตท.เสียให้รัฐเหลือ 11,000 ล้านบาท ประหยัดกำไรที่ต้องจ่ายให้รัฐบาล ไปถึง 5,500 ล้านบาท
นั้นคือตัวอย่าง ที่ยกมาเพื่อให้เข้าใจภาพมากขึ้น แต่ข้อเท็จจริง ปีภาษี 2558 ปตท.จะเสียภาษีเท่าไร ก็ขึ้นกับผลประกอบการนะครับว่า ปี 2558 มีผลกำไรสุทธิเท่าไร ...ซึ่งสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันตกลงแบบนี้ กำไรสุทธิคงไม่สูงเท่าปี 2557 ที่ผ่านมาแน่ ก็รอดูต่อไป เพราะเขาต้องรายงานต่อสาธารณอยู่แล้ว.....?
ทั้งนี้ การลดภาษี แน่นอนว่า บริษัทนิติบุคคลทุกบริษัทก็ได้รับประโยชน์เหมือนกันทุกบริษัท ไม่ว่าจะ กลุ่มซีพี กลุ่มเสี่ยเจริญ กลุ่มสหพัฒน์ กลุ่มแบงก์ กลุ่มอสังหาฯ ฯลฯ เอาเป็นว่า ทุกบริษัทที่มีกำไรสุทธิได้รับหมด ส่วนพวกที่ขาดทุนไม่ต้องห่วง เพราะเขาเก็บภาษีจากกำไรสุทธิ...
แต่ประเด็นที่เป็นหลักการว่า การลดภาษีนิติบุคคลแล้วจะดึงการลงทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นั้นต้องรอพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่...การลงทุน การเข้ามาจดทะเบียนของต่างชาติในไทยจะเพิ่มขึ้นหรือไม่...รอครับ ขีดความสามารถของบริษัทไทยจะเข็มแข็งขึ้นหรือไม่...รอดูครับ...? การเข้ามาลงทุนของต่างชาติจะมากน้อยเพียงใด และจะมีกำไรสุทธิมาจ่ายภาษีได้มากน้อยเพียงใด...ก็รอดูกันไปครับ..?
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในประเด็นภาษี มีข่าวแว่วๆเมื่อวันจันที่ผ่านมาว่า อธิบดีสรรพสามิต ท่านออกมาหนุนให้เก็บภาษีน้ำมันดีเซลเพิ่มครับ ท่านว่าจะเป็นการช่วยนำเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศครับ คือปัจจุบัน ภาษีสรรสามิตที่เก็บจากน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4 บาทกว่าเกือบ 5 บาทแล้วละครับ การเก็บภาษีสรรพสามิตจะเป็นการช่วยให้ราคาขายปลีกไม่ลดลงไปมาก ประชาชนจะได้ไม่ใช้น้ำมันฟุ่มเฟือยครับ...ท่านว่าอย่างนั้นนะครับ
ก็รอดูความชัดเจนอีกครั้งว่า ท่าน เหล่านั้นจะ เก็บภาษีน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นหรือไม่ ติดตามครับ...
เปลวไฟน้อย