มีวันนี้ได้เพราะผู้ชายให้ "ดีเจมะตูม" ความสวยให้ห้ามั่นหน้าให้สิบ

ประโยคสั้นๆ แต่ความหมายลึกซึ้งกินใจที่ถ่ายทอดออกมาจาก้นบึ้งของใจของ "ดีเจมะตูม" แห่งคลื่น 94 EFM และเมื่อเราได้ยินประโยคนี้จึงทำให้ทีมข่าว Sanook! News เกิดความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราว "ความรัก" ที่เป็นตัวนำพาให้ "ดีเจมะตูม" ก้าวจากดีเจในโลกออนไลน์ขึ้นสู่ดีเจคลื่นวิทยุแถวหน้าของประเทศไทยได้อย่างไรและตัวตนของ "ดีเจมะตูม" คนนี้จริงหรือไม่ที่ว่ากันว่าเป็นคนที่ ตรง! แรง! แซ่บจัดจ้าน! เราพร้อมแล้วที่จะพาทุกคนไปพบกับคำตอบและได้รู้จักดีเจคนนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน

งานเอ็นเตอร์เทนคือ 'สายเลือด'

มะตูมเกิดมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักร้องมีพี่สาวที่ชอบร้องเพลงและน้องสาวที่ชอบทำกิจกรรมนั้นจึงเป็นสิ่งหล่อหลอมให้ตนเองนั้นมีสายเลือดความเป็นนักเอ็นเตอร์เทนในตัวตั้งแต่เด็ก

"มะตูมเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมชอบแสดงออกตั้งแต่ตอนที่อยู่ประเทศไทยมะตูมชอบทำงานชอบอยู่บนเวทีชอบให้มีสปรอทไลท์ส่องมา จนกระทั่งได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศไปเยอรมัน เราก็พยายามจะเข้าไปในงานสายตรงนี้เข้าละครเวทีเริ่มจากไปทำแบ็คกราวนด์ก่อนยังไม่ได้ไปเต้น พออยู่ๆ ไปหลายปีก็เริ่มไปสมัครเริ่มได้เป็นตัวประกอบไปเต้นเป็นแดนซ์เซอร์บนละครเวทีมะตูมมีความชอบว่าทำอะไรก็ได้ขอแค่คนมองมาที่เรา มันเหมือนว่ามะตูมโตมากับครอบครัวศิลปินเพราะว่าพ่อเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงพอสมควรสมัยก่อน พี่สาวมะตูมก็ร้องเพลงเพราะ น้องสาวก็เป็นเด็กกิจกรรมมันเป็นสายเลือดเลยดีกว่า มันก็เลยทำให้เราชอบการเอ็นเตอร์เทนมันเหมือนว่าเรามีความสุขกับการที่เราได้ปล่อยพลังงานบวกออกไปให้คนและคนมีความสุขกับสิ่งที่เราได้แสดงออกไป"

ดีเจโลกออนไลน์สุดแสน 'ปากจัด'

เพราะมีความฝันที่อยากจะเป็นดีเจเป็นต้นทุนแต่ยังขาดโอกาสเพราะด้วยระยะทางที่อยู่ใกล้ถึงประเทศเยอรมัน การจัดรายการในโลกออนไลน์จึงเป็นอีกหนึ่งทางที่ดีเจมะตูมตั้งใจจะอยากจะทำเพื่อต่อยอดความฝันและเน้นสร้างสีสันรายการด้วยสไตล์ ตรง! แรง! แซ่บ! และ จิกกัด

"ช่วงที่มะตูมจัดรายการคือช่วงที่มะตูมอยู่เมืองนอกทั้งสิ้นมะตูมไม่เคยจัดที่เมืองไทย มะตูมอยู่เมืองนอกมะตูมก็เหงาและอีกอย่างเรารับสื่อที่เมืองไทยเราดูอินเตอร์เน็ตเราชอบพี่โอปอลล์เราชอบพี่เชาเชา เราอยากเป็นดีเจแต่เราไม่สามารถบินมาออดิชั่นหรือแคสงานได้เราก็เลยสร้างโลกของเราขึ้นมาจัดเองเลย สไตล์การจัดก็จะเป็นการพูดคล้องจองเร็วๆ รัวจิกกัดตลกคือทุกอย่างที่เป็นกระแสสังคมมะตูมเลียนแบบหมด มะตูมจะเน้นการจัดแบบเอ็นเตอร์เทนไม่มีการพูดเพราะและไปค่อนข้างหยาบโลน ซึ่งตอนนั้นเราทำได้เพราะเราอยู่ใต้ดินมะตูมต้องบอกว่าเพศที่สามจะมีความสามารถพิเศษในการจิกกัดและการจิกกัดคนของเราคือสามารถทำให้คนขำได้สมมติว่ามะตูมจะพูดคำว่าดีออกคนอื่นพูดจะดูหยาบแต่ถ้าเป็นมะตูมพูดและด้วยสำเนียงและแอ็คติ้งมันจะขำมันอยู่ที่จังหวะและลีลามากกว่าและคิดว่ามันเป็นความสามารถพิเศษ"

หน้าอย่างมะตูมก็เป็นได้แค่ 'ดีเจตลาดล่าง'

คำคอมเม้นท์ที่ดูถูกที่ดีเจมะตูมเปิดใจและเล่าว่ายังจำได้ขึ้นใจกับการโดนตราหน้าหลังจัดรายการออนไลน์แม้ฟังแล้วจะรู้สึกบั่นทองข้างในจิตใจแต่ก็เลือกที่จะขอบคุณการดูถูกที่นำมาเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง

"มันก็เกิดจากที่มะตูมจัดรายการออนไลน์อยู่และเหมือนว่าเราก็จัดและคนก็เข้ามาฟังเราวันละหนึ่งถึงสองพันคนและมะตูมก็รู้สึกว่าทำไปเรื่อยๆ อย่างที่เราชอบและก็มีคนมาคอมเม้นท์นึงบอกว่าหน้าอย่างมะตูมก็เป็นได้แค่ดีเจตลาดล่าง ไม่มีทางขึ้นมาเป็นดีเจระดับพวกพี่โอปอลล์ไม่สามารถขึ้นมาเป็นดีเจอีเอฟเอ็มได้ เพราะมะตูมมีเป้าหมายว่ามะตูมอยากเป็นดีเจของอีเอฟเอ็มอยู่แล้ว แต่ว่าเราไม่สามารถเป็นได้ตอนนั้นเขาก็เลยตราหน้าว่าเราเป็นไม่ได้หรอก อย่ากลับมาเลยเมืองไทยเสียเวลาเปล่าๆ เพราะว่าคนพวกนั้นเขามีการศึกษาเขาการศึกษาดีเขาพูดกันเป็น มะตูมเป็นไปไม่ได้หรอกเป็นได้แค่ตัวตลกในโลกออนไลน์ เห็นแล้วมันก็บั่นทอนนะแต่ว่าคนที่เขาคอมเม้นท์ว่าดูถูกเราก็ต้องขอบคุณเพราะว่าถ้าไม่มีคอมเม้นท์นั้นมันก็จะไม่มีมะตูมวันนี้"

7 เดือนกับการต่อสู้เพื่อสู่การเป็น 'ดีเจตัวจริง'

หลังจากตัดสินใจกลับมาอยู่ประเทศไทยบ้านเกิดตัวเองดีเจมะตูมเผยว่างานดีเจได้เลิกฝันไปเพราะได้โอกาสเล่นละครและภาพยนตร์หลายเรื่องจึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้แล้วสำหรับงานดีเจแต่ก็ยังไม่ได้ทิ้งฝันเพราะมันยังเป็นสะเก็ด เพียงแต่ไม่ได้แกะและก็รู้สึกว่าซักวันเราอาจจะได้มาทำตรงนี้

"ต้องบอกว่าภาย 7 เดือนที่ทำเดโม่ ทางอีเอฟเอ็มก็ไม่ได้บอกว่าคุณจะได้เป็นดีเจเลยนะเราจะต้องดูก่อนว่าคุณผ่านหรือเปล่า จนกระทั่งพอผ่านมาเสร็จปุ๊บมะตูมก็ลุ้นว่าจะได้มั้ยๆ สุดท้ายเขาก็เอามะตูมลงผังทุกวันเลยรายการแฉแต่เช้าทำให้เรามีความรู้สึกว่ามะตูมแบกรับความเป็นเอไทม์อยู่บนบ่าเราต้องทำให้ดีเพราะว่ามะตูมเป็นเด็กที่มีประสบการณ์น้อยที่สุดในการทำงานเป็นดีเจ และการเป็นพิธีกรเป็นดีเจหรือเล่นละครมันเป็นงานที่แตกต่างกันคนจะไม่เห็นหน้าเราจะได้ยินแต่เสียงเรา เราต้องสื่อสารออกมาอย่างไรให้คนฟังรู้สึกว่าเราเป็นมิตรกับเขา

เดือนแรกที่มะตูมมาทำเดโม่เดือนแรกร้องไห้เลยเพราะเรามีความรู้สึกว่าทำไมมันยากกว่าที่เราคิดเยอะมาก และวันนี้ถ้าให้ตอบสวยๆ แบบนางเอกเลยก็ตอบได้ว่าภูมิใจมากค่ะก็ต้องขอบคุณนะคะที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสแต่ในความเป็นจริงแล้วมะตูมภูมิใจมากกว่ากับระยะทางที่เดินมา มะตูมไม่ได้ภูมิใจว่ามะตูมมาอยู่จุดนี้ได้เพราะมะตูมเชื่อว่ามะตูมจะต้องขึ้นไปได้อีก แต่มะตูมภูมิใจที่ระหว่างทางจากล่างขึ้นมาสู่บนทุกก้าวบันไดมันมีอุปสรรคมันมีบทเรียนทุกอย่างที่สอนเราให้เราโตขึ้นทุกๆ ก้าวนี่คือสิ่งที่มะตูมภูมิใจที่มะตูมเดินหน้าไม่เคยถอยหลังจนมาถึงขั้นนี้เท่านั้นเองคือสิ่งที่ภูมิใจ"

'ความรัก' คือแรงจูงใจกลับบ้านเกิดและสานต่อฝัน

นอกเหนือจากความฝันที่มีความตั้งใจเป็นทุนแล้วนั้น อีกหนึ่งแรงจูงใจสำคัญที่ดีเจมะตูมเล่าว่าคือแรงผลักดันที่ทำให้ตนประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ "ความรัก" ที่เกิดขึ้นระหว่างที่ตัวเองอยู่ที่เยอรมันและเขาอยู่ประเทศไทย จึงทำให้ตนเองตัดสินใจกลับบ้านเกิดและการกลับมาใช้ชีวิตดูแลซึ่งกันและกันก็ทำให้ดีเจมะตูมได้โอกาสต่างๆ ที่เขากล้าพูดได้เต็มปากเลยนั้นมาจากผู้ชายคนรัก

"มะตูมเคยบอกกับตัวเองถ้าวันนึงมะตูมดังแล้วมีคนมาถ่ายรูปมะตูมมีคนมาถามมะตูมจะต้องพูดทุกอย่างตามที่มะตูมคิดซึ่งมะตูมก็คิดว่ามะตูมจะตอบแบบตรงๆ ไม่โกหกเพราะผู้ชายมะตูมถึงกลับมาเพราะว่ามะตูมคบกับคนๆ นึงในโลกออนไลน์แล้วเหมือนพี่เขาก็ดูแลเราดีมาตลอด เราก็บินไปบินมาไปมาหาสู่กันกระทั่งวันนึงเราได้ห่างๆ กันเพราะพี่เขาประสบอุบติเหตุป่วยเหมือนเป็นอัมพฤตครึ่งซีกเราก็เลยบินกลับมาดูแลเขาและช่วงที่มะตูมกลับมาดูแลเขามะตูมก็เลยอัดคลิปที่รู้ๆ และเข้าใจกันมันเริ่มมาจากตรงนี้ก็คือดูแลพี่เขาจากเดินไม่ได้จนกลับมาเดินได้มันก็เป็นเรื่องนึงที่มะตูมก็ภูมิใจการเดินตามความฝันของมะตูมทุกอย่างมันมีความรักเป็นตัวนำอย่างเดียวที่เราได้มาอยู่จุดนี้ก็เพราะว่าความรักเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้เขาก็เป็นผู้จัดการให้มะตูมเราต้นทุนสูงก็ต้องกินของดีๆ อย่าอิจฉาที่มะตูมได้แฟนหล่อแต่จงอิจฉาที่มะตูมได้แฟนดี"