พิสูจน์เส้นทางนักร้อง "ณัฐ ศักดาทร" ผลงานหรือแค่บ้านรวย!
ผมเชื่อว่าการที่เรามาอยู่ตรงนี้เราเกิดขึ้นได้เพราะว่าจากซัพพอร์ตของคนหลายๆ คน เขาลงทุนด้วยแรงทรัพย์ด้วยความรักเรา เราก็เป็นเหมือนหุ้นที่เขามาลงทุน เพราะฉะนั้นเราจงทำตัวเป็นหุ้นที่ให้กำไรกับคนที่เขามาลงทุนกับเราโดย ณัฐ ศักดาทร
เป็นเวลากว่า 8 ปีที่นักร้องหนุ่ม "ณัฐ ศักดาทร" หรือที่รู้จักกันว่า "นัท AF4" เดินเข้ามาสู่เส้นทางนักร้องซึ่งหากย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขาก้าวสู่เวทีประกวดทรูอะคาเดมี่แฟนเทเชียปี4 ตอนนั้นต้องยอมรับว่าเขาคือผู้เข้าประกวดที่โดนกระแสโจมตีอย่างหนักหน่วงกับคำครหาไม่ว่าจะเรื่องของบ้านรวยเลยใช้เงินซื้อโหวตจนชนะ เสียงไม่ดีคงไปได้ไม่ไกล
แต่เมื่อเวลาผ่านไป "ณัฐ ศักดาทร" ก็ได้พยายามพิสูจน์ด้วยผลงานเพลงและต่อยอดพัฒนาตัวเองขึ้นไปกับผลงานต่างๆ และวันนี้ 8 ปีผ่านไปนัทก็กลายเป็นศิลปินแถวหน้าในวงการเพลงที่ซิงเกิ้ลเพลงได้การยอมรับอาทิ ครั้งหนึ่งในชีวิต คิดถึงดังดัง รักเธอคนเดียว และอีกมากมาย อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของเขาให้ผ่านช่วงเวลาความกดดันจากคำดูถูกและคำครหาต่างๆ มาได้ Sanook! News พร้อมแล้วที่จะพาหนุ่มนัทมาเปิดใจแบบหมดเปลือกที่แรกและที่เดียว
จุดประกาย 'ความฝัน' การเป็นนักร้อง
ณัฐเล่าว่าจุดประกายความฝันการเป็นนักร้องของตนนั้นเกิดจากวันนึงไปรับพี่สาวในงานคอนเสิร์ตและทำให้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศคอนเสิร์ตครั้งแรกและรู้สึกสนุกจึงเริ่มมีฝันอยากจะเป็นนักร้อง
"พี่สาวผมไปดูคอนเสิร์ตของพี่อ้อมและพี่ทาทาและบังเอิญว่าผมไปรับพี่สาวกับแม่ก็เลยมีโอกาสได้ดูคอนเสิร์ตช่วงสุดท้าย เพราะมันเล่นที่กลางแจ้งและตอนนั้นพอเราได้สัมผัสบรรยากาศคอนเสิร์ตแบบสดๆ ครั้งแรกในชีวิตเราก็รู้สึกว่ามันสนุกจังมันมีความสุขจังเราสัมผัสได้เราตื่นเต้นไปกับมัน และคิดว่ามันเจ๋งอยากทำอย่างนี้ได้บ้างอยากไปอยู่บนเวทีและทำให้คนเขาสนุกแบบนี้ก็เลยอยากเป็นนักร้อง แต่ตอนนั้นก็อายุแค่เพียง 11-12 ปีเองครับ" นัทเริ่มเล่า
ตามล่าฝันสู่เวทีประกวดกับคำครหา 'บ้านรวยซื้อทุกอย่างได้'
"ผมมาประกวด AF หลังจากที่ผมเรียนจบที่อเมริกาช่วงนั้นก็อายุ 22 และเรามาจากการไปใช้ชีวิตเรียนอยู่ต่างประเทศกว่า 8 ปีที่นั้นก็จะเจอสังคมที่เปิดกว้าง แต่พอตัดสินใจมาประกวดสิ่งแรกที่ผมโดนว่าเป็นคนรวยแล้วมาประกวดทำไมอันนี้ผมก็งงๆ หรือว่าคุณมาประกวดคุณใช้เงินซื้อทุกอย่างเราก็รู้สึกว่าไม่ใช่คนรวยทุกคนที่เป็นนะ คือตอนที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกาผมจะเจอสังคมที่เขาให้เคารพในความแตกต่างและอีกอย่างต้องไม่เหมารวมทั้งสิ้น พอเรามาประกวดและโดนอย่างนี้ตลอดเวลามันก็ค่อนข้างตกใจเหมือนกัน จริงๆ ตอนนั้นผมอยากเป็นนักร้องที่แกรมมี่และผมลองทำเทปที่แกรมมี่แล้วไม่ผ่านเราก็รู้สึกว่าถ้ามันมีโอกาสอื่นๆ เราก็ต้องวิ่งหามันก็เลยไปประกวด AF และก็เจอคำครหาสารพัดมาตลอดครับ"
ถามว่าอยู่อย่างไรกับความกดดันคำครหาที่โดนโจมตีอย่างหนักหน่วง นัทบอกว่า แค่เราสู้ไม่ยอมแพ้คำพูดทั้งหลายก็ทำอะไรเราไม่ได้
"ตอนที่อยู่ในช่วงแข่งขันผมไม่ได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกระแสมีอะไรเพราะเราอยู่ในบ้าน แต่พอออกมาแล้วคือตกใจเป๋ๆ ไปเหมือนกันแต่เราก็ยังโชคดียังมีกลุ่มคนที่รักและเชียร์เราอยู่เราก็เลยต้องมองและพยายามมองในมุมบวก เราต้องรู้ว่าเป้าหมายเราคืออะไร และเราจะต้องรู้ว่าคนที่เขาไม่ได้หวังดีกับเรา เราจะให้คนที่ไม่หวังดีกับเรามากำหนดชีวิตเราหรือเราจะพยายามทำให้มันถึงที่สุด ผมว่าคนเรามันเลือกได้ว่ามันมีทั้งพลังลบพลังบวกเข้ามาในชีวิตเราเลือกได้ว่าเราจะจมปรักกับพลังลบที่คนอื่นยื่นมาใส่เรา หรือเราจะพยามยึดเอาพลังบวกเป็นตัวที่ถีบเราไปข้างหน้าต่อไป ถ้าเรายึดเอาพลังลบเราก็จะได้แค่นั้นแหละและก็จะเป็นไปตามในสิ่งที่คนเขาด่า" นัทเล่าก่อนจะเผยต่อไปอีกว่า
"แต่ในช่วงเวลานั้นที่ผมโดนว่าเยอะๆ ผมมีความเชื่ออยู่อย่างว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันต้องมีเหตุผลของมันและผมก็เชื่อว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นเพื่อทำให้เราเข้มแข็งยังไงเราต้องผ่านเรื่องนี้ไปแล้วเราจะเข้มแข็งขึ้นมากๆ จนแปดปีผ่านไปวันนี้ผมรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นเพื่อให้ผมเป็นตัวแทนคนๆ หนึ่งโดนเรื่องร้ายมาเยอะๆ ในการประกวดบนเส้นทางนี้แล้วยังรอดมาได้ แปดปีที่ผ่านมาเพื่อมาบอกทุกคนว่าโดนเรื่องหนักแค่ไหนก็ไม่ตายถ้าเราไม่ยอมแพ้จริงๆ ผมเป็นข้อพิสูจน์ข้อหนึ่งเลยนะถ้าคุณย้อนกับไปแปดปีที่แล้วกับตอนนี้ก็รอดมาได้นี่หว่า มันก็แปลว่าถ้าผมยังรอดมาได้เรื่องคนอื่นๆ ในชีวิตที่เจอมามันก็รอดมาได้เหมือนกันเพียงแค่เราสู้ไม่ยอมแพ้มันทำอะไรเราไม่ได้หรอกพวกคำพูดทั้งหลาย"
แม้ว่าจิตใจลึกๆ จะพยายามต่อสู้และพิสูจน์คำดูถูกแค่ไหน นัทเผยว่า คำบางคำก็บั่นทอนและยังจำฝังใจไม่เคยลืม
"จำได้คำที่ว่าแม่ซื้อทุกอย่างแม่ทุ่มหมดได้ตำแหน่งมาภูมิใจหรอ แต่คือเรารู้อยู่ว่าครอบครัวเราไม่ได้จ่ายเยอะอะไรขนาดนั้นเราไม่โง่จ่ายเยอะขนาดนั้นหรอก เงินที่จะเอามาโหวตเอาไปสร้างบ้านใหม่ดีกว่า คือคนก็สบประมาทไว้เยอะแหละครับว่าเราซื้อมาบ้างหรือว่าเราไม่มีใครเชียร์เลยนอกจากครอบครัวเราเองคือบางคนจะคิดอย่างนี้จริงๆ แต่ทุกวันนี้ก็เห็นแล้วล่ะว่าเราก็มีแฟนคลับแฟนเพลง และก็มีที่บอกว่าเสียงไม่ได้เรื่องร้องสู้คนอื่นในรุ่นไม่ได้แบบนี้ไปได้ไม่ไกลหรอก แต่ว่าก็อยู่มาแปดปีแล้วนะ สุดท้ายก็มีเพลงเป็นที่รู้จักหลายเพลงคือผมรู้สึกว่าผมไม่ชอบในสิ่งที่คนเขาดูถูกไว้ผมจะต้องเป็นอะไรที่เกินกว่านั้นให้คนเขาเห็นเราจะรู้สึกว่าเราจะไม่ยอมแพ้จนกว่าเราจะไปถึงจุดที่มันเกินสิ่งที่เขาพูดไว้"
ชีวิตไม่ง่ายเพราะระหว่างทางที่ต่อสู้กับคำดูถูก นัทเล่าว่า ตัวเองนั้นก็ต้องต่อสู้กับความท้อแท้ควบคู่ไปด้วยเช่นกัน
"ความท้อแท้มันมีอยู่แล้วครับมันก็เหมือนการวิ่งมาราธอนการวิ่งมันจะมีจุดให้น้ำเพื่อเติมพลัง วิ่งในความฝันก็เช่นกันมันเหมือนเราต้องเติมอะไรที่เป็นพลังบวกเติมมุมมองดีๆ หาแรงบันดาลใจดีๆ ซึ่งอาจจะดูตัวอย่างคนนั้นคนนี้ แต่ผมมาถึงตอนนี้ก็ภูมิใจนะ ผมจำได้เลยว่ามันมีกระทู้พันทิปหรือแม้แต่คอมเม้นท์ในยูทูปที่พอฟังเพลงเราหลังๆ แล้วเขาบอกว่าตอนนั้นเขาไม่เชียร์แต่ตอนนี้เขายอมรับแล้วคำเหล่านี้มันทำให้เราไม่ใช่แค่ภูมิใจในตัวเอง แต่เรารู้สึกดีที่เราทำให้คนที่เขาเชียร์เราได้รู้สึกว่าเขาเชียร์คนถูกแล้ว มันก็เป็นความภูมิใจที่เราก็พิสูจน์ให้เขาเห็นจริงๆ ว่าเราไม่ได้มาเล่นๆ เรามาอย่างตั้งใจนี่คือสิ่งที่เรารักและอยากทำในอาชีพนักร้องผมรู้สึกว่าผมประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งผมมองว่าการจะอยู่ตรงนี้ได้เราต้องไม่หยุดเราต้องเพิ่มความสามารถตัวเองเรื่อยๆ ครับ"
ปิดท้ายกันที่แนวคิดการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางนักร้องของตนเองนั้น นัทบอกว่า เป็นคนที่เลือกใช้ชีวิตและคิดว่าตัวเองนั้นเหมือนหุ้นที่ให้กำไรผู้อื่น
"ผมเชื่อว่าการที่เรามาทำอาชีพตรงนี้เราเกิดขึ้นได้เพราะว่าจากซัพพอร์ตของคนหลายๆ คน คนที่เป็นนักร้องคนที่เป็นอาชีพสาธารณะก็มีแฟนๆ ของเรานั้นแหละมาลงทุนกับเรา อย่างผมก็คือชัดเจนมากเพราะเขาโหวตให้เราลงทุนด้วยแรงทรัพย์ด้วยความรักเรา ก็เหมือนเป็นหุ้นที่เขามาลงทุนแล้วเวลาคนเล่นหุ้นเขาต้องการอะไร เขาต้องการเห็นว่ามันได้กำไรเพราะฉะนั้นถ้าเราจะรักษาเขาไว้ได้เราก็จะต้องเป็นหุ้นที่กราฟมันขึ้น มันก็คือเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราต้องหาโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเอง เราต้องเก่งขึ้นเราต้องดีกว่าเดิมมันถึงจะเป็นหุ้นที่น่าลงทุน แต่ถ้าเมื่อเราที่เราเป็นหุ้นที่ตกคนที่มาลงทุนกับเราเขาจะรู้สึกแย่และบางคนเขาก็จะหายไป จริงๆ ถ้าเราทำตัวเป็นหุ้นที่น่าลงทุนที่ได้กำไรยังไงเราก็มีทางไปต่อเรื่อยๆ เราจะมีคนอยากซัพพอร์ตเราอยากลงทุนกับเราเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นในชีวิตเราต้องทำตัวเป็นหุ้นที่ให้กำไรกับคนที่เขามาลงทุนกับเราครับ"
ตลอดการสัมภาษณ์ "ณัฐ ศักดาทร" นักร้องคนนี้เขาทำให้เราเชื่อว่าการมองโลกในแง่บวกบางครั้งไม่ใช่โลกสวยแบบที่ใครๆ ต่างพูดกัน แต่การเป็นคนคิดบวกนั้นนำมาซึ่งพลังด้านดีที่ส่งผลทางด้านจิตใจให้มีพลังสู้กับอุปสรรคต่างๆ เพียงแค่ต้องใช้เวลาอดทนเพื่อพิสูจน์ตัวเองหากคุณไม่ยอมแพ้ตั้งแต่กลางทางวันหนึ่งคำว่าประสบความสำเร็จก็จะรออยู่ที่เส้นชัยนั่นเอง
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ