ปัญหาเศรษฐกิจ บทพิสูจน์ของจริงที่ “ทีมสมคิด” ต้องเผชิญ
"ขณะนี้ในส่วนพลังของขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคการเงินยังมี แต่คนกู้กู้ไม่ไหว โดยเฉพาะผู้บริโภครายย่อยเพราะหนี้ท่วม ถ้าปล่อยกู้มาหนี้ครัวเรือนก็จะยิ่งสูงและความเสี่ยงกลับมาสู่สถาบันการเงินได้ ส่วนภาคธุรกิจยังมีความต้องการ แต่ต้องขึ้นกับการลงทุนโครงการภาครัฐที่จะต้องเกิดขึ้น ทั้งนี้การผันเงินลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดกำลังซื้อก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนทำให้ยังมีความล่าช้าอยู่"
"พลังซื้อตอนนี้มันแฟบ จะกระตุ้นโดยรถ กระตุ้นโดยบ้าน ได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะกู้จนติดเพดานแล้ว ติดขอบด้วยกันทุกคน ทั้งคนกู้และสถาบันการเงินก็ติดขอบเช่นกัน" บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการธนาคารกสิกรไทย
เป็นการฉายภาพเศรษฐกิจไทยที่น่าสนใจ จากนายธนาคารมากความสามารถ เป็นการฉายภาพที่ เราคนไทยต้องยอมรับ และเตรียมรับภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะอยู่ภายใต้บรรยากาศ ของภาวะไม่สดใสไปอีกไม่น้อยเลย และภาพที่เราต้องดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังไม่ประมาท เพราะก่อนหน้า เพียงวันเดียว ระดับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมายอมรับ ว่า เศรษฐกิจไทยจะยังชะลอตัวไปอีกอย่างน้อย 2 ปี...
ดังนั้น บรรดาผู้คนที่ดีอกดีใจ กันยกใหญ่ในช่วงที่รัฐบาลเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ จาก ทีมหม่อมอุ๋ย มาเป็นทีมสมคิด คดหวังว่า ทีมนี้เข้ามาแล้วเศรษฐกิจจะพุ่งทะยาน มาถึงชั่วโมงนี้บอกได้ว่า ลืมไปได้เลย เพราะบรรยากาศของเศรษฐกิจโลก และปัญหาจากภายในของเราเอง บวกกับภัยธรรมชาติจากภัยแล้ง ต้องบอกว่าสาหัส
บรรดายุทธวิธีเดิมๆ ที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเคยใช้ได้ผล มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ มาตรการจิตวิทยา กลยุทธทางการตลาด ที่ถนัด ที่ขนออกมาใช้อย่างรวดเร็วในช่วงปลายปีที่แล้ว ..ไม่ว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ช็อปช่วยชาติ กองทุนหมู่บ้าน เติมเงินให้ตำบล ฯลฯ กลับไม่สามารถฉุดเศรษฐกิจให้ฟื้นและมีกำลังส่งให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยับขับเคลื่อนต่อไปได้..
ในทางกลับกัน มาตรการบางอย่างกลับเป็นแรงกดดัน เป็นการเติมหนี้ให้กับภาคครัวเรือน ทำให้เป็นแรงฉุดความเชื่อมั่น ฉุดกำลังความสามารถลงไป อย่างที่ คุณบรรฑูรยกมาข้างต้น
ปัญหาเศรษฐกิจในวันนี้ เป็นโจทย์ยาก เพราะเศรษฐกิจไทยเชื่อมกับเศรษฐกิจโลกอย่างแยกกันไม่ออก เมื่อโลกมีปัญหา เราซึ่งพึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจจากการส่งออกย่อมมีปัญหาไปด้วย เรียกได้ว่าเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจขาลง เป็นช่วงของการปรับฐานครั้งใหญ่ ต้องใช้เวลา ซึ่งต่างไปจากบรรยากาศเดิมที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเคยประสบความสำเร็จในการเข้ามาดูแลเศรษฐกิจก่อนหน้า
วันนี้จึงเป็นความท้าทาย ของทีมเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เป็นการวัดฝีมือของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า จะบริหารในช่วงเศรษฐกิจขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉุดเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักหรือขยับขับเคลื่อนได้อย่างไร ที่ผ่านมา มาตรการผลักดันเอสเอ็มอี หรือ โอทอป ก็ขนออกมา ใช้อีกครั้งแต่ก็ดูเหมือนยังนิ่งไม่สามารถขยับได้มากนัก
ต่อจากนี้จึงน่าสนใจว่า ทีมเศรษฐกิจจะมีมาตรการเด็ดอะไร ใหม่ๆ ที่ออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างจริงจัง หรือจะรอใช้การลงทุนภาครัฐเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อน เพียงอย่างเดียว...รอติดตามกันต่อไปครับ
เปลวไฟน้อย