คุก1 ปี 2 เดือน ชายเลือดร้อน ยิงสุนัขตายหน้าห้างดัง รอลงอาญา 2 ปี
เมื่อเวลา 11.00 น. (24 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 802 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวิชา บุญลือลักษณ์ จำเลยฐานทารุณกรรมสัตว์ ฆ่าสัตว์โดยให้ได้รับทุกข์เวทนา ตามพ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมสัตว์และการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
คำฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2558 เวลากลางคืน จำเลยมีอาวุธปืน ไม่ทราบชนิดและขนาด ไม่มีทะเบียน และกระสุนปืนไม่ทราบชนิดและขนาดหลายนัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปตามถนนสาธารณะบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล สาขาลาดพร้าว โดยไม่ได้รับอนุญาต
และใช้อาวุธปืนยิงสุนัขสีขาวดำหลายนัด กระสุนปืนถูกบริเวณหัวไหล่ทั้งสองข้าง เป็นเหตุให้ขาทั้ง 4 ข้างของสุนัขเป็นอัมพาต มีเลือดไหลออกในปอดจำนวนมาก และถึงแก่ความตาย เหตุเกิดบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล สาขาลาดพร้าว เขตวังทองหลาง
โดยวันนี้นายวิชา จำเลย พร้อมทนายความ เดินทางมาศาล และน.ส.ภณิตา สุนทรัตต์ อายุ 47 ปี ผู้เข้าแจ้งความและดูแลสุนัขที่ถูกยิงตาย เดินทางมาฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยจะอ้างว่าได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน แต่ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นกระบอกเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุหรือไม่ จำเลยเบิกความกล่าวอ้างเพียงลอยๆ ว่าเป็นอาวุธปืนมีทะเบียน และจำเลยยังอ้างเหตุที่ไม่ได้นำอาวุธปืนส่งพนักงานสอบสวน เพราะเกรงจะถูกขอขมาต่อกลุ่มพิทักษ์สัตว์และทำให้เป็นข่าวดัง
ในชั้นสอบสวนพบว่าจำเลยมีบุคคลใกล้ชิดไปเข้าฟังการสอบสวน ขณะนั้นจำเลยสามารถที่จะนำอาวุธปืนของกลางและหลักฐานต่างๆมามอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการ ข้อต่อสู้ของจำเลยไม่มีน้ำหนัก กรณีจึงฟังได้ว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงสุนัขให้ได้รับความทรมาน จึงเป็นความผิดฐานทารุณกรรมสัตว์ เป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานยิงอาวุธปืนในเมือง หมู่บ้าน หรือในที่ชุมชุน
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ พ.ศ.2557 มาตรา 20 และ 31 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท ฐานกระทำทารุณกรรมสัตว์ จำคุก 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานพาอาวุธปืนฯจำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาท ฐานกระทำทารุณกรรมสัตว์ฯ จำคุก 3 เดือน ปรับ 2,500 บาท รวมโทษจำคุกเป็นเวลา 14 เดือน และปรับ 7,500 บาท
ทั้งนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี พร้อมให้คุมความประพฤติจำเลยเป็นเวลา 1 ปี โดยให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติจำนวน 4 ครั้ง และให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์ 12 ชั่วโมง
ภายหลังนายวิชา กล่าวว่า ยอมรับคำพิพากษาของศาลทุกอย่าง คงไม่อุทธรณ์คดีแล้ว ก่อนหน้านี้เคยถูกสุนัขตัวดังกล่าวไล่กัดขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านหลายครั้ง รวมทั้งคนอื่นๆด้วย และในวันเกิดเหตุถูกสุนัขวิ่งไล่กัดอีก จึงทำไปเพราะเกิดความโมโห ขอโทษต่อสังคมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพร้อมจะปรับปรุงตัวเองและบำเพ็ญประโยชน์ตามที่ศาลพิพากษา
ด้าน น.ส.ภณิตา กล่าวว่า พอใจคำพิพากษา จะเป็นบทเรียนให้กับสังคม ตลอดเวลา 1 ปีเศษของคดีดังกล่าว คิดว่านายวิชาคงได้รับบทเรียน อยากฝากถึงสังคมและคนที่คิดจะทารุณกรรมสัตว์ให้คิดว่าผิดกฎหมายและการสั่งสอนสัตว์เล็กๆน้อยๆตามสมควร คงไม่มีปัญหา แต่หากลงโทษให้สัตว์ถึงแก่ความตายก็เกินกว่าเหตุ