รองผบก.จร.เผยคดีทายาทกระทิงแดง แจ้งข้อหาเมาหลังขับทำได้
รองผู้บังคับการตำรวจจราจร เผยกรณีแจ้งข้อหาเมาหลังขับแก่ทายาทกระทิงแดง สามารถทำได้ แต่ต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาล
พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร กล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวนให้ความเห็นทางคดีกรณี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง "กระทิงแดง" ขับรถชน ดาบตำรวจ วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 และหลังเกิดเหตุกลุ้มใจจึงดื่มสุรานั้น จะต้องดูที่พยานหลักฐานว่า ศาลจะเชื่อแค่ไหน เพราะในเบื้องต้นจากคำให้การ หลังเกิดเหตุชน ดาบตำรวจวิเชียร เสียชีวิต นายวรยุทธ ได้กลับเข้าบ้านทันที ก่อนจะออกมาตรวจวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์ช่วงสายของวันเดียวกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าโจทก์จะนำสืบอย่างไร
ส่วนกรณีที่พนักงานสอบสวนให้ความเห็น แจ้งข้อกล่าวหาเมาสุราหลังขับรถนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ ถ้าผู้ต้องหานำพยานมาสอบปากคำ เพื่อกล่าวอ้างว่า ระหว่างเกิดเหตุ นายวรยุทธ มีอาการตกใจ ก่อนหลบหนีจากจุดเกิดเหตุเข้ามาที่บ้านพักทันที และได้มีการดื่มสุราจริง
ซึ่งหากอัยการไม่เชื่อ ก็ยังสามารถฟ้องในข้อหาเมาแล้วขับได้ แต่หากศาลเชื่อว่าเป็นการเมาหลังขับจริง คดีจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะอัตราโทษ ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุกไม่เกิน 10 ปี แต่การดื่มสุราแล้วขับเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้นมา จึงมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี แต่หากไม่มีอาการมึนเมาเข้ามาเกี่ยวข้องก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลที่จะพิจารณา
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีเมาหลังขับ พ.ต.อ.เอกรักษ์ อธิบายว่า ตามมาตรา 43(2) ตาม พระราชบัญญัติจราจร ห้ามมิให้ผู้ใดขับขี่รถขณะเมาสุราหรือเมาของอย่างอื่นอย่างใด
เพราะฉะนั้น หากข้อเท็จจริงในทางคดีพิสูจน์ได้ว่าขณะขับรถไม่มีอาการมึนเมา แต่ขับรถเสร็จแล้วมีการดื่มสุราจนมึนเมานั้น จะถือว่าไม่ผิดตามมาตรานี้ แต่ในข้อเท็จจริงผู้ต้องหามีอาการเมาอย่างแน่นอน แต่จะเมาหลังขับรถ หรือเมาขณะขับนั้น จะต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาลต่อไป