เปิดกรุผ้าขี้ริ้วห่อทอง พเนจรเงินล้าน
ในยุคสมัยที่หลายคนเริ่มบูชาธนบัตรเป็นพระเจ้าและบ้าวัตถุนิยม ยกย่องเพียงรูปกายภายนอกที่ดูดีมีค่ามีราคา จนมองข้ามบุคคลธรรมดาเหล่านี้ ที่ไม่ได้เป็นที่นับถือจากใครๆ
แต่หารู้ไม่ว่าใต้เสื้อผ้าอาภรแสนธรรมดาของพวกเขากลับซ่อนทรัพย์สินที่มีค่าเอาไว้มากมายดังสุภาษิตที่ว่า "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" และที่สำคัญพวกเค้ายังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นหลังรู้จักอดออมและเสียสละอีกด้วย
บุคคลที่มีเรื่องราวน่าค้นหากับชีวิตของคุณปู่ วัย 84 ปี หลังท่านเสียชีวิตเรื่องราวค่อยๆ เผยออกมาอย่างน่าสนใจ คุณปู่คนนี้มีชื่อว่า นายองอาจ ราชวงษ์ อายุ 84 ปี มีอาชีพเก็บขวดน้ำและของเก่าขาย แต่เคยรับราชการอยู่ที่กรมสรรพสามิต ตำแหน่งพนักงานขับรถ ซึ่งเกษียณอายุราชการมาได้ 24 ปี ค้นพบสมุดบัญชีธนาคารออมสิน มีเงินฝากอยู่ในบัญชี 1,340,000 บาทและโฉนดที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่จำนวน 2 ไร่จำนวน 2 แปลง ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้ถูกเปิดเผยเมื่อคุณตาวัย 84 ปีได้เสียชีวิตลง
นอกจากนี้ยังพบภาพถ่ายสมัยหนุ่มๆ หลายภาพ และเอกสารการอุทิศอวัยวะดวงตาให้กับสภากาชาดไทยเพื่อใช้ประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ และยังได้รับการเปิดเผยว่าผู้ตายยังเคยได้มอบเงินสร้างสะพานและซื้อข้าวให้วัดเป็นเงินจำนวน 7-8 ล้านบาท ด้านเงินที่ได้จากการขายของเก่าส่วนใหญ่ก็จะมอบให้วัด
อีกหนึ่งชีวิตที่ถูกเปิดกรุว่าเป็นบุคคลท่านนี้คือผ้าขี้ริ้วห่อทอง หลายคนมองภายนอกเขาเป็นคนยากไร้ นายปั่น อโนมา อายุ 85 ปี ภูมิลำเนาเป็นชาวภูเก็ต เรื่องราวชีวิตที่โลกออนไลน์ขนานนามว่า ลุงปั่น ขอทานเงินล้านตามหาญาติ คุณลุงอาศัยหลับนอนในวัดโกรกกราก จ.สมุทรสาคร และบางครั้งก็กินข้าวก้นบาตรประทังชีวิตมาประมาณ 30 ปี ใช้ชีวิตเรียบง่ายหลังตื่นนอนจะออกจากวัดแล้วกลับมาตอนค่ำๆ คาดว่าออกไปขอทานตามตลาดนัด หรือพื้นที่ชุมชน รวมถึงหน้าห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ใกล้เคียง
หลังจากลุงปั่นได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่ลุงปั่นได้สร้างความตะลึงเอาไว้นั่นคือ คุณลุงทิ้งเงินสดกว่า 1 หมื่นบาท พร้อมด้วยบัตรประชาชนและสมุดบัญชีธนาคารที่ถูกซุกอยู่ใต้หมอน 3 เล่ม พบว่ามีเงินฝากอยู่ร่วมกันกว่า 1.5 ล้านบาท
ทั้งนี้ เจ้าอาวาสวัดได้ออกมาเผยว่า คุณลุงปั่นไม่ใช่ขอทานเพียงแต่มาอาศัยนอนวัดเท่านั้น เงินที่ใช้จ่ายเป็นเงินส่วนตัวไม่เคยได้ขอใคร ล่าสุดรายงานระบุว่าพบญาติคุณลุงปั่นแล้ว
เรื่องราวน่าสนใจของอีกหนึ่งบุคคล เป็นหญิงชราผู้ไม่ง้อโชคชะตา คุณป้าวัย 65 ปี หรือนางเภา มีอาชีพทำขนมไทยใส่รถเข็นไปขาย ป้าเภาอาศัยอยู่พียงลำพัง ต่อมามีคนไปพบว่าป้าเสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วยภายในเพิงพัก
หลังจากคุณป้าได้สิ้นลมไปแล้ว เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาตรวจสอบหลายคนเป็นต้องทึ่งกับความขยัน ความเพียรของป้าที่ทำมาหากินสะสมทรัพย์สมบัติได้มีเงินสด จำนวน 53,870 บาท และสร้อยคอทองคำ 1 เส้น น้ำหนัก 2 บาท, สร้อยข้อมือ 3 เส้น น้ำหนัก 2 บาท จำนวน 2 เส้น,สร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักเส้นละ 1 บาท จำนวน 1 เส้น ,แหวนทองคำ 4 วง ,เข็มขัดเงิน 1 เส้น รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้นประมาณ กว่า 2 แสนบาท
ต้องบอกว่าป้าเภาเป็นบุคคลที่สู้ชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเองจริงๆ
ผ้าขี้ริ้วห่อทองคนสุดท้ายที่หลายๆคนต้องรู้จัก ลุงเอี่ยม หรือ นายเอี่ยม คัมภิรานนท์ วัย 66 ปี ขอทานใจบุญ แห่งวัดไร่ขิง เกิดมาพิการเป็นโปลิโอ อดมื้อกินมื้อ กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็กอาศัยอยู่กับญาติ อายุได้ 10 ขวบได้ออกเดินเร่ขายขนมหาเลี้ยงตัวเอง เพราะไม่อยากรบกวนญาติ ๆ
ได้มอบเงินนับล้านบาทที่ได้จากผู้ใจบุญมีจิตศรัทธาให้ทาน เก็บหอบรอมริบมากว่า 37 ปี จำนวน 999,999 บาท บริจาคให้กับวัด ส่วนที่เหลือ 1 บาท เก็บไว้เป็นเงินก้นถุง
นอกจากนี้ยังรวบรวมเงินช่วยเหลือครอบครัวของสายัณห์อีก หลังจากเคยช่วยเหลือไปแล้ว 100,000 บาท และเมื่อปี 2557 ลุงเอี่ยมได้ถอนเงินจากธนาคารบริจาคให้กับทางวัดไร่ขิงอีกเป็นจำนวน 2 ล้านบาท นี่คือเหล่าบุคคลผ้าขี้ริ้วห่อทองที่รู้จักอดออมและทำมาหากินอย่างซื่อสัตย์สุจริต แม้ชีวิตจะเหนื่อยยากแค่ไหนก็ไม่เคยเบียดเบียนใคร แม้จะมีเงินทองมากมายก็ไม่เคยโอ้อวด
รวยหรือจนดูกันที่ภายนอกไม่ได้ อยู่ที่ว่าใครจะแสดงออกไปในทิศทางไหนบางคนอวดรวยทั้งที่ยากจน บางคนอวดจนทั้งที่ร่ำรวยก็มีถมเถไป แต่สุดท้ายก็เอาทรัพย์สินไปด้วยไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะรวยหรือจนคุณก็คือคนธรรมดา เพียงแค่หมั่นเอาเวลาไปทำความดี เท่านี้คุณก็คือคนรวย "รวยน้ำใจ ที่ใครๆก็สรรเสริญ"