วู้ดดี้ มิลินทจินดา ยอมรับแต่งงานแฟนหนุ่ม ปัดจดทะเบียนสมรส
สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับวงการบันเทิงหลังจากพิธีกรชื่อดัง "วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา" ได้สัมภาษณ์เปิดใจกับนิตรสาร Time Out Bangkok ว่า ได้แต่งงานแล้วกับแฟนหนุ่มที่คบหาดูใจกันมา 9 ปี
ล่าสุด (28 มิ.ย.) หนุ่มวู้ดดี้ ได้เปิดใจผ่านรายงานตื่นมาคุย ทางช่อง MCOT HD ว่า จัดพิธีแต่งงานเมื่อประมาณ 2 ปีครึ่งที่แล้ว ในวันวาเลนไทน์ที่ภูเก็ต โดยเป็นงานที่จัดแต่ภายในกับเพื่อนๆ ไม่มีบาทหลวง แขกในงานไม่ได้พกมือถือ และมีช่างภาพแค่คนเดียว และไม่ได้จดทะเบียนตามที่เป็นข่าว
"ผมจำได้ว่าตอนนั้นมีหนังสือมาสัมภาษณ์ผม สัมภาษณ์ไปนานแล้วด้วยครับ เป็นการพูดคุยเปิดใจเกี่ยวกับทุกเรื่องในชีวิต ซึ่งช่วงที่เขาถามมันก็จะมีคำถามหนึ่งที่เขาถามขึ้นมาว่า "เมื่อ 3 ปีที่แล้วคุณรู้สึกยังไงบ้างกับการแต่งงาน?"
และคำตอบของผมที่ตอบเขาไปก็คือ "ไม่คิดจะแต่ง" อันนี้คือเมื่อ 3 ปี ก่อนนะ จากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาอีกว่า "แล้วตอนนี้ล่ะรู้สึกแบบนั้นอยู่หรือเปล่า ?" ผมก็ไปทันทีเลยว่า "ไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว เพราะผมแต่งไปแล้ว" คือด้วยความที่ผมพูดแบบตรงไปตรงมาคนที่เขาฟังเขาก็อึ้งนิดหน่อย จากนั้นเขาก็ถามต่อเพื่อให้ผมอธิบายในส่วนของรายละเอียดทุกอย่าง"
"แต่ผมอยากจะชี้แจกสักนิดหนึ่งนะครับว่าผมไม่ได้พูดว่าผมแต่งงานที่นิวยอร์ก เมื่อวานผมถึงกับให้พีอาร์ส่วนตัวโทรกลับไปเช็คกับทางหนังสือเล่มนั้นด้วยเลยว่า ให้เขาลองไปฟังที่แกะเทปใหม่ว่าผมพูดแบบนั้นจริงหรือเปล่า
เนื่องจากเรื่องจริงคืองานมันจัดขึ้นที่ภูเก็ต ไม่ใช่ที่นิวยอร์กเลย สรุปก็คือมีการลงผิดนิดหนึ่งครับ (ยิ้ม) ซึ่งพอมีการระบุว่าเป็นนิวยอร์กแบบนี้คนที่เขาอ่านเขาก็จะคิดไปว่ามันมีการจดทะเบียนเป็นเรื่องเป็นราวแบบฝรั่ง"
"สำหรับเรื่องนี้ผมคงต้องขอพูดแบบตรงไปตรงมาอีกเหมือนกัน เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาพูดเรื่องนี้ อีกอย่างเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นมานานแล้วเมื่อประมาณ 2 ปีครึ่งเห็นจะได้ ช่วงวันวาเลนไทน์ พิธีการเราก็จัดกันแบบเล็กๆ "
"มีหลายคนเหมือนกันนะที่เขามองว่าเรื่องนี้เป็นการสร้างกระแสของผมเพื่อการพีอาร์อะไรก็แล้วแต่ แต่ผมอยากจะชี้แจงตรงนี้เลยนะครับว่ามันไม่ใช่ งานนี้มีแค่เพื่อนๆ ที่ไปร่วมงานจริงๆ เพราะแหม...เราคบกัน 9 ปี แล้วนะครับคุณผู้ชม และผมก็คิดมาตลอดว่ามันเป็นเรื่องดีด้วย
เนื่องจากตัววู้ดดี้เองคิดมาเสมอว่า "เราเกิดมาเป็นคน เราก็น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสทุกอย่างในชีวิต เราได้มีโอกาสบวชแล้ว ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างแล้ว ได้เกิดเป็นคนไทยซึ่งเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมาก ได้มีโอกาสเจอกับพ่อแม่ ได้เจอคนที่รัก และการแต่งงานไม่ว่าคุณจะเป็นพิเศษใด คุณก็ควรจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกับทุกคน" ดังนั้นงานนี้คืองานที่จัดแบบภายในกับเพื่อนๆ ที่เราทั้งคู่ต่างก็รักมากเท่านั้นเองครับ"
"เอาตรงๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าเรื่องนี้คนก็คงไม่ได้มานั่งอะไรมาก แต่พอมันเป็นกระแสขึ้นมาผมยังถามโปรดิวเซอร์อยู่เลยว่าทำไมคนให้ความสนใจเยอะขนาดนี้ ดังนั้นก็เลยตัดสินใจว่าพูดให้มันจบๆ ไปเลยดีกว่า
เพราะตัวผมเองก็ไม่อยากให้คนเข้าใจผิด ผมภูมิใจในสิ่งที่ผมเป็นมาก ผมมีความสุขกับชีวิตของผม และผมก็อยากจะบอกกับทุกคนว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจแล้ว ซึ่งเราเองก็แฮปปี้และมีความสุขกับมันครับ"
ตอนนี้เราอยู่เป็นครอบครัวอยู่ด้วยกันหรือเปล่า ?
"บางคนอาจจะไม่อยู่ด้วยกันก็ได้ไงแล้วแต่คู่ครับ เพียงแต่ว่าการแต่งงานมันคือการเฉลิมฉลองความรักที่เราจะสามารถบอกกับคน คนหนึ่งได้ว่าเราเลือกคุณแล้วนะ เราอยู่กับคุณแล้วนะ ชีวิตนี้เราจะมีคุณนะ
เอาจริงๆ เมื่อวานนี้ผมหนักใจมากเลยเพราะไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้ยังไงดี กังวลไปหมดว่าคนอาจจะไม่เข้าใจเรา แต่เมื่อวานพอเครื่องบินลงจากพม่า คุณแม่ของผมท่านก็ส่งข้อความมาให้กำลังใจ ซึ่งท่านเขียนไว้ว่า "ความรักเป็นสิ่งสวยงามนะลูก อย่าให้คนที่ไม่รู้ว่าความสวยงามในความรัก มาบั่นทอนจิตใจเรานะคะ" ทันทีที่ผมอ่านข้อความนี้จบมันเหมือนกับผมได้บรรลุทันที คือคิดได้ว่าเราจะมานั่งนอยด์ทำไมอยู่ได้"
"ในส่วนของการแต่งงานอย่างที่บอกครับ เป็นพิธีง่ายๆ ไม่มีอะไรเว่อร์วังอลังการ เพื่อนๆ ยังถามผมเลยว่าหลังจากงานจบแล้วถ้ามีคนมาถามจะให้ตอบยังไง ผมก็บอกเขาไปว่าให้ตอบตรงๆ ไปเลยอย่าโกหก แต่คือไม่มีใครถามเราเลยไงครับ และก็ไม่มีใครบอกด้วย
อีกอย่างภายในงานเราก็ไม่ได้ให้นำมือถือเขาไป ไม่ให้มีการกับบันทึกภาพ แต่ภาพที่นำมาให้ดูคือมีเพียงแค่ตากล้องคนเดียวเท่านั้นที่เข้าไปช่วยบันทึกเอาไว้ เพราะเราอยากให้มันเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ และเราเองก็ไม่อยากที่จะนำเรื่องส่วนตัวของเรามาทำให้เป็นกระแสหรือเป็นประเด็นด้วย"
ครอบครัวฝ่ายชายว่ายังไงบ้าง ?
"เอ่อ...พี่ไม่ทราบครับ"
"วันนี้ก็อยากจะบอกกับทุกคนว่าเราไม่ได้จดทะเบียนสมรส เพราะข่าวที่ออกไปตอนแรกมันมีการระบุว่าเราไปแต่งงานกันที่เมืองนอก จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ
แต่ผมก็อยากจะบอกอีกเหมือนกันว่าสำหรับการแต่งงานแล้วหากมันสามารถที่จะจดทะเบียนสมรสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคู่ของ ชายรักชาย หญิงรักหญิง มันสำคัญมากนะครับ คุณนึกดูละกันครับว่าหากวันหนึ่งคนใดคนหนึ่งป่วยแต่กฎหมายไม่รองรับ คนที่เป็นแฟนก็จะไม่สามารถมาดูแลเขาได้เลย
ง่ายๆ คนหนึ่งรักคนหนึ่ง แต่แต่งงานทางกฎหมายไม่ได้ ถ้าเกิดว่าผู้ใหญ่ไม่โอเคหรือมีเหตุที่ทำให้ต้องตัดสินใจร่วมกัน สุดท้ายมันไม่สามารถทำได้ กฎหมายไม่สามารถรองรับได้"
เครดิตภาพจากทวิตเตอร์ @Prangie, IG: woodytalk ข้อมูลนิตยสาร Time Out Bangkok
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ