ดราม่า! ผูกคอลิงกับรถขนมะพร้าว แถมให้ตากฝน
(30 มิ.ย.) ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปวีดีโอจากเฟซบุ๊กคุณ Yong Hengheng ที่ได้โพสต์ภาพและคลิปพบลิงเกาะรถขนมะพร้าวท่ามกลางสายฝน โดยที่คอของลิงยังมีการผูกเชือกเอาไว้ด้วย โดยระบุข้อความดังนี้
"เหตุการณ์ที่ชุมพรวันนี้ เวลา 17.30 รถคันนี้ขับขวามาตลอดทาง ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมขับรถตามคันนี้มาไม่ต่ำกว่า 20 นาที เห็นลิงเกาะอยู่ข้างรถ ขวามือจะเป็นตัวใหญ่ 2 ตัว. ซ้ายมือเป็นลิงตัวเล็ก 2 ตัว ทุกตัวถูกผูกเชือกไว้ที่คอ
อากาศตอนนั้นหนาวมาก ขนาดผมปิดแอร์วิ่ง ปิดกระจก ยังรู้สึกหนาวเลย แต่ลิง 4 ตัวนี้ต้องตากฝนเปียกไปทั้งตัว ปะทะกับลมที่ความเร็ว 100 k/m เค้าคงหนาวมาก เอาหัวซุกลงไปที่หน้าอก หดคอให้สั้นที่สุดเพื่อไม่ให้ร่างกายหนาวเย็นยะเยือกจนทนไม่ไหว และต้องเกาะให้แน่นที่สุดในชีวิต เพราะมันทั้งหนาวทั้งเปียกและลูกกรงเหล็กก็ลื่น เค้าคงกลัวตกจากรถมาก เกาะกันแน่นเลย
ทำไมมนุษย์ถึงใช้งานเค้าเยี่ยงนี้ หาประโยชน์จากเค้าเต็มที่ แต่ดูแลเค้าแบบนี้เหรอ ลองเอาลูกตัวเองมาผูกคอเกาะข้างรถตากฝนแบบนี้จะกล้าทำไหม เห็นเค้าเป็นแค่สัตว์เดรัจฉาน จะทำยังไงกับเค้าก็ได้อย่างนั้นเหรอ
ลิงเค้าจะเข้าใจไหมว่าเค้าเกิดมา ต้องมาทำอะไรลำบากๆ แบบนี้ ทำงานเพื่อมนุษย์ เก็บมะพร้าวให้ทั้งคัน ใช้เวลาทั้งวัน เสร็จแล้วต้องตากฝนตากลมหนาวแทบเจียนตาย มือก็ปล่อยลูกกรงเหล็กไม่ได้ เพราะนั่นคือความตาย มือเท้าที่หมุนมะพร้าวมาทั้งวัน มันจะล้าขนาดไหน
เค้ากลับไปป่วยหนักมนุษย์จะพาเค้าไปรักษาไหม หรือปล่อยให้เค้าตายแล้วเอาตัวอื่นมาเลี้ยงใหม่ มนุษย์ทำกับเค้าแบบนี้ มันยุติธรรมแล้วงั้นหรือ หมาถูกคนเอาปืนยิง 10 นัด หมาตายตัวแต่ 2 นัดแรกแล้ว ไม่เจ็บปวดแล้ว ไม่ทรมานแล้ว แต่ลิงต้องทนหนาวกี่ชั่วโมง ธรรมชาติของเค้าที่อยู่ตามป่า ถึงเค้าจะเปียกฝน แต่เค้าก็จะหาที่หลบลม ไม่ให้ตัวเองหนาวตายแน่นอน
แต่นี่มนุษย์เอาเค้ามาผูก มาบังคับให้ตากฝนทนหนาว เค้าไม่ใช่สัตว์ที่ทนหนาวได้ขนาดนั้น ไม่รู้ว่า 4 ตัวนี้ชะตาชีวิตจะเป็นยังไงต่อไป เมื่อไหร่มนุษย์จะเลิกเห็นแก่ตัวเอาเปรียบพวกเค้าเสียที"
ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลายคนตำหนิการกระทำของเจ้าของลิง ขณะที่อีกฝ่ายก็ระบุว่า ลิงเก็บมะพร้าวปกติจะแข็งแรงอยู่แล้ว และมีคนยืนยันว่าเคยสอบถามเจ้าของลิงแล้ว ก็ทราบว่าลิงไม่ยอมเข้าไปนั่งด้านใน เลยต้องผูกคอติดกับรถเพราะกลัวมันตก
ขอขอบคุณภาพและคลิปจาก เฟซบุ๊กYong Hengheng