ความดังเปลี่ยนนิสัย! "ออม บลูเบอร์รี่" ชีวิตเกือบพังเพราะความเหลิง
บ่อยครั้งที่คนในวงการบันเทิงออกมาสะท้อนการใช้ชีวิตในทางที่ผิดด้วยการหลงเหลิงไปกับชื่อเสียงเงินทอง "ออม บลูเบอร์รี่" อดีตสมาชิกวง "บลูเบอร์รี่" ที่เคยโด่งดังกับผลงานเพลง "ชิมิ" และปัจจุบันกำลังมีซิงเกิ้ล "อกสั่น" ได้มีโอกาสมาเปิดใจเรื่องราวชีวิตของตนเองในช่วงเวลาที่เคยรุ่งเรืองแต่ปัจจุบันเมื่อชื่อเสียงร่วงโรยลงแล้วนั้นจึงทำให้ตนเข้าใจชีวิตที่เคยผิดพลาดเพราะความเหลิงในตัวเอง
"ช่วงเวลา 4 ปีที่บลูเบอร์รี่โด่งดังเราหลงกับชื่อเสียงเรา จะทำอะไรก็ได้เราจะเลือกใครมาทำงานกับเราก็ได้ ฉันไม่เอาไม่ไปงานนี้แต่ก่อนได้ค่าตัวห้าหกพันก็ไป เราหลงหน้าตาตัวเอง แต่เมื่อวันที่กราฟชีวิตวันลง เรารู้สึกได้ว่าพลาดมากเรามั่นใจเกินไปกับคำว่าชื่อเสียงและเงินทองและการเยินยอที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิต"
คำตอบที่ออกจากปากของ "ออม บลูเบอร์นี่" เมื่อสิ้นการยิงคำถามแบบตรงไปตรงมาของทีมข่าว Sanook News! ถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิต "ออม บลูเบอร์รี่" ในวันที่เคยมีชื่อเสียงเงินทองแต่ปัจจุบันผลงานกับไม่เปรี้ยงปังงานที่เคยถูกจ้างก็ลดน้อยลงจนต้องผันตัวมาทำธุรกิจเลี้ยงตัวเองเธอเล่าว่า
"ตอนนั้นชีวิตมันเป็นอะไรที่เกินคาดมาก พอตอนที่เพลงชิมิชิมิออกมาทุกสถานีให้รับการตอบรับดีมากได้อันดับหนึ่งตลอด ได้รางวัลได้ตลอด และเราเองเราก็เป็นเด็กที่เรียนจบมาปุ๊บเข้ามาเป็นศิลปินเลย การใช้ชีวิตตอนนั้นคือสุดๆ แฮปปี้มีความสุขทุกคนรู้จักเรา แต่ก็มีอยู่ช่วงเวลาที่พวกเราเหลิงนะ เช่น การใช้เงินทอง การใช้ชีวิตทุกอย่าง งานนั้นงานนี้ไม่เอาเหมือนเลือกได้ ก็มีหลายๆ คนก็เตือนเรา มันเป็นช่วงของคนที่กำลังพีค เราเพิ่งจะมารู้สึกตัวตอนที่เราโตขึ้นว่าที่ผ่านมาเราไม่น่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปเลย"
"วัฏจักรความเหลิง" คนดังหนีไม่พ้น
เมื่อถามถึงปัจจัย "ความเหลิง" ที่เปรียบเสมือนโรคฮิตคนบันเทิงที่มักจะพบประสบให้เห็นบ่อยครั้งเมื่อชีวิตสัมผัสความดังเธอเผยว่าเงินทองที่ได้มาง่ายคือความหอมหวานที่ชวนหลงใหล
"ส่วนตัวออมคิดว่าเป็นการการถูกสปอยการเทคแคร์เอาใจมากๆ จนนำไปสู่ความเหลิง ออมเหลิงทั้งการใช้ชีวิต เหลิงในชื่อเสียงของเรา เหลิงการใช้เงิน เหลิงและหลงตัวเอง พูดตรงๆ เลย การใช้เงินได้เงินทุกวัน ช้อปวันเป็นแสน ช้อปแบรนด์เนมกันทั้งวงเป็นกันทั้งวงไม่ได้คิดถึงอนาคตเพราะเงินมันเหลือเฟือมันดูหอมหวานจนเราหลงไปกับมัน แต่โชคดีตัวออมเองมีคุณพ่อเขารู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงเขาบังคับเพราะตอนแรกออมจะซื้อรถสปอร์ต จะเอา พ่อบอกว่าให้หยุด รถสปอร์ตมันไม่ใช่ทุกสิ่งเอาเงินมาคือออมก็ตกใจว่าทำไมพ่อต้องเอาเงินเพราะพ่อก็เป็นข้าราชการเงินเดือนท่านก็สูงพ่อบอกว่าเอาเงินนั้นไปซื้อที่ดินไว้ออม"
ชื่อเสียงความดัง" เปลี่ยนนิสัย
สำหรับออมเป็นคนไม่แอ๊บแบ๊วนะ พูดอะไรก็พูดตรงๆ เป็นอุทาหรณ์ให้กับคน เราจะไม่พูดถึงเพื่อนๆ จะพูดถึงแค่ตัวเรา พอเราก็รู้สึกหลงกับชื่อเสียงเราเราหลงกับว่าเราดัง มันจะเปลี่ยนความคิดตัวเราแบบว่าดังแล้วจะทำอะไรก็ได้จะเลือกอะไรก็ได้ เราจะเลือกใครมาทำงานก็ได้ ฉันไม่เอางานนั้นงานนี้ งานนี้ไม่โอเคแต่ก่อนได้หมด ได้หมดห้าหกพันก็ไปแล้วเรามันจะหลงหน้าตาตัวเองทุกคนชมเราสวยจังเลยอย่าง มันเหมือนตาบอดลืมไปเลยตัวเองไปเลยจริงๆ"
และในขณะที่เธอกำลังหลงระเริงกับชื่อเสียงเงินทองที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตตัวเองนั้น "ออม บลูเบอร์รี่" เล่าว่าเธอไม่เคยคิดไปถึงจุดอิ่มตัวของชื่อเสียงตัวเองเมื่อวันนั้นมาถึงก็ทำให้ตนเองเกือบจะตั้งรับไม่ทัน
"เห็นได้ชัดเลยคือเรื่องงานเมื่อก่อนงานมีสามสิบวัน วันละสองถึงสามคิว พอเศรษฐกิจมันเริ่มเปลี่ยนชื่อเสียงเรามันเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มคิดละจากสามสิบงานเหลือ 20 งาน เหลือสิบงาน แล้วพอเศรษฐกิจไม่ดีเข้าไปอีกเหลือห้างานจากสามสิบงานต่อเดือนเหลือห้างานมันเปลี่ยนไปเยอะมาก แล้วคลื่นลูกใหม่ก็เข้ามา แต่ตอนคลื่นลูกใหม่ที่ตีเข้ามาตอนที่เราดังมาก คลื่นลูกใหม่เราก็ไม่กลัวไม่กลัวใครเลย เพราะเราคิดว่าเราเป็นที่ทุกคนต้องการ พอผ่านไปซักพักใครมาทักโชว์เราต้องปรับซิโชว์เราเปลี่ยนให้มันแกรนด์ขึ้นมั้ย เราก็ไม่เอาไม่เห็นว่าสำคัญเลย ซึ่งพอมานั่งย้อนมองวันที่กราฟมันลงเราพลาดมากเรามั่นใจเกินไปกับคำว่าชื่อเสียงและเงินทองมากเกินไป"
ตั้งสติยอมรับ "ความเปลี่ยนแปลง"
"วงบลูเบอร์รี่ตอนนั้นเป็นจุดที่เปลี่ยนแบบเปลี่ยนจริงๆ พี่โบว์ก็มีน้องด้วยก็ออกไปค่อนข้างชัดเจน สื่อทุกสื่อประโคมข่าว แต่เจ้าภาพงานตามต่างจังหวัดเขาไม่รู้ว่าพี่โบว์ออกไปแล้ว เขาคิดว่ายังเหลือสามคน บางงานก็ถาม ทำไมมาสองคนจ้างมาสามคน เราเริ่มรู้สึกต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว พอเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง ชื่อเสียงของเราก็กำลังจะดาวน์ลง เริ่มรู้สึกว่าเราจะใช้เงินแบบเดิมไม่ได้ดีที่ออมเป็นคนที่รู้ตัวเร็ว และโชคดีที่พ่อกับแม่ออมเป็นครูเขาจะเป็นคนที่สอนเพื่อให้เราตั้งสติ เพราะแม่บอกว่าคำเยินยอไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จคำเยินยอมีแต่จะทำให้ลูกแย่ลงๆ"
หลังจากทำใจยอมรับกับชื่อเสียงและรายได้ที่ไม่ได้มีเข้ามาเหมือนดังเดิม คำสอนของแม่ที่สอนให้รู้จักหางานทำเพิ่มทำให้ "ออม บลูเบอร์รี่" ฉุดคิดและหันไปศึกษาต่อปริญญาโทพร้อมทำธุรกิจความสวยความงามที่ตนชอบเป็นทุนเดิม
"แม่พูดว่าต้องทำอะไรซักอย่างแม่บอกให้หางานทำเพิ่มทำอะไรก็ได้ แต่ตอนนั้นมันก็มีงานอยู่เรายังคิดว่าไม่จำเป็นนะแม่ตอนนี้ออมก็ยังทำงานอยู่ แม่บอกว่าก็ดูแล้วกันว่าสิบวันที่เหลือมันจะเป็นสิบวันที่ทำงานและยี่สิบวันที่ว่างและจะเหลือแค่ไม่กี่งานต่อเดือน ออมก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท ถ้าสมมติว่าเพลงมันไปต่อไม่ได้เราจะไปทางไหน และในระหว่างที่เรียน ก็เริ่มทำธุรกิจมาได้ปีกว่าล้มลุกคุกคลานสุดท้ายพอมันกลายเป็นความชอบความคิดที่ว่าความอยากเป็นศิลปินก็ลดลงเรากลายเป็นอยากเป็นคนธรรมดาไม่ต้องมาแข่งกับกระแสเพื่อหาจุดยืนให้ตัวเอง"
หยุดหลอกตัวเองคือการ "ยอมรับความจริง"
"เราต้องทำใจ เราอยู่ในจุดที่ดาวน์ลงแล้ว จะขึ้นไปสุดอีกมันไม่ใช่เรื่องง่ายและมันเป็นเรื่องยากมาก โอกาสมันแทบน้อยมาก สิ่งที่ต้องทำคือการยอมรับความจริง ต้องไม่หลอกตัวเองและต้องไม่หลงตัวเองอีกแล้วเราไม่ใช่คนดังแล้ว ทุกวันนี้เรากำลังจะก้าวเป็นคนปกติอย่าเหยียบหัวใคร เพราะคนนั้นอาจจะเป็นคนที่เราต้องไหว้ในอนาคต อย่าคิดว่าตัวเองดังมากมากจนไม่ต้องง้อใคร พอคุณกลายมาเป็นคนที่ไม่ดังคุณลงจากหลังเสือแล้วมายืนบนหลังหมาคุณอาจจะต้องกราบเขาก็ได้"
"เพราะฉะนั้นสิ่งที่ออมเรียนรู้มาทั้งชีวิตก็คือทุกวันนี้กลับมาเป็นคนปกติดีที่สุดการยืนอยู่เป็นคนที่ดังมากมันเหมือนเราถูกปิดตา ยิ่งเราออกมาจากการถูกปิดตาได้เร็วเท่าไหร่มันคือกำไรชีวิตมากกว่า ออมพูดได้เลยว่ามันผิดการดังมากคนเยินยอมากเหมือนเป็นการฆ่าตัวเองไปเรื่อยๆ ฉะนั้นการวางตัวให้เป็นคนธรรมดาดีที่สุด มีสติยอมรับกับความจริงมากที่สุดเราต้องยอมรับว่าไม่ดังแล้วนะ เป็นแค่คนที่เคยดังมาก่อน เราเป็นคนที่เคยมีชื่อเสียง วันนี้เราอยู่ในจุดที่ไม่มีใครวิ่งเข้าหาเรา แล้วเราต้องช่วยตัวเองเราต้องทำตัวเองให้ดีที่สุด"
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนชีวิตการหลงระเริงตัวเองราคาแพงที่เราเชื่อว่าจะสะท้อนให้เห็นวัฏจักรความดังของคนบันเทิงไม่ว่าจะเป็นจะเป็น ศิลปิน นักร้อง นักแสดง ต่อให้โด่งดังและเป็นที่รักและชื่นชอบมากแค่ไหน หากให้ความเหลิงครอบงำชีวิตในวงการก็คงไม่สวยสดใสแน่นอน
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ