แม่น้องมินนี่ สำนึกผิดตีลูก เผยเครียดเงินไม่พอใช้ สัญญาจะไม่ทำอีก

จากกรณีเด็กหญิงมินนี่ เด็กหญิงลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลียวัย 4 ขวบ ถูกแม่บังเกิดเกล้าทุบตี ร่างกายเขียวช้ำไปทั้งตัว จนพลเมืองดีต้องนำตัวเด็กเข้าพบตำรวจ ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลเกาะสมุยให้ดูแล ล่าสุดผู้เป็นแม่สำนึกผิดแล้ว สัญญาต่อไปจะไม่ทำอีก พร้อมขอโทษสังคมต่อการกระทำดังกล่าว

เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคม 2559 นางจารุณี รัตนจินดา หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับโรงพยาบาลเกาะสมุย เทศบาลนครเกาะสมุย และ สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี สอบข้อเท็จจริงในกรณีที่น้องมินนี่ ด.ญ.วัย 4 ขวบ ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย ถูกแม่แท้ๆทำร้ายร่างกาย โดยการใช้ไม้ตีจนมีรอยฟกช้ำไปทั่วร่างกาย เพื่อนบ้านพบเห็นจึงอุ้มน้องมินนี่มาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อผุด ให้เข้าช่วยเหลือ

น.ส.แอ๋ว (นามสมมติ) อายุ 35 ปี แม่น้องมินนี่ เปิดใจว่า รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีเงิน ลูกอยากกินอะไรก็ไม่มีเงินซื้อให้ อีกทั้งสามีชาวมาเลเซียก็มีปัญหาเรื่องการเงิน จึงไม่ได้ส่งเงินมาให้ ทำให้ต้องไปกู้เงินนอกระบบมาใช้จ่ายระหว่างรอเงินจากสามี แต่เงินหมด ทำให้มีความเครียดมาก น.ส.แอ๋ว กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่ตีลูก และใช้อารมณ์กับลูก เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ยอมรับผิดต่อการกระทำดังกล่าว และต่อไปสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก พร้อมขอโทษสังคม

ด้านนางจารุณี รัตนจินดา หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า การทำงานด้านการคุ้มครองจะต้องทำทั้งสองด้านทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ โดยจะใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ขอแยกเด็กด้วยความยินยอมของมารดา เพื่อนำมาบำบัดฟื้นฟูทางด้านร่างกายและจิตใจ สำหรับตอนนี้น้องมินนี่เจอแม่ก็ยังมีอาการหวาดกลัวอยู่ ต้องใช้เวลาบำบัดฟื้นฟูสักระยะหนึ่ง นอกจากนี้น้องมินนี่เคยอยู่กับป้าที่จังหวัดลำปางมาก่อน และเรียนหนังสืออยู่ที่นั่น ก่อนที่แม่จะรับมาดูแลเองที่เกาะสมุย ซึ่งจะได้ประสานไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลำปางพิจารณาในด้านความพร้อมต่อไป

ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า อาการบาดแผลฟกช้ำของน้องมินนี่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังอยู่ในอาการที่หวาดผวา และตกใจเป็นบางครั้ง ซึ่งทางบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี จะนำตัวน้องมินนี่เดินทางเข้าไปอยู่ในความดูแล เพื่อทำการฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กต่อไป

ขอบคุณข้อมูลและติดตามข่าวได้ที่ : WorkpointNews