ที่ควรตึงดันหย่อน ที่ควรหย่อนกลับตึง ..?

ที่ควรตึงดันหย่อน ที่ควรหย่อนกลับตึง ..?

ที่ควรตึงดันหย่อน ที่ควรหย่อนกลับตึง ..?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

(ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา)

เป็นเรื่องชวนปวดหัวจริงๆ กับการทำงานของข้าราชการไทยในบางเรื่อง ควรจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง แต่กลับปล่อยปละละเลย รอให้ปัญหาสุมไว้เป็นดินพอกหางหมู จนยากจะแก้ไข.. ก็น่าเห็นใจคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเมืองไทยครับ.. ที่ทุกปัญหาถูกยกให้ตัดสินใจแก้ปัญหามันไปเสียทุกเรื่อง จนท่านนายก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับออกปากบ่นดังๆให้ได้ฟังได้ยิน

ก็อย่างที่ท่านนายกว่าละครับ แม้กระทั้งปัญหาผักตบชวา...ทำไมไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหา...ทำไมถึงได้นิ่งเฉย ทำเป็นธุระไม่ใช่ไปเสียหมดตั้งแต่ท้องถิ่นขึ้นมาเลย การละเลยมองว่าไม่ใช่ปัญหาของตัวเองไม่เข้าจัดการแก้ไขปัญหา มันเป็นเหมือนวัฒนธรรมของข้าราชการไทยที่เกาะกินมานาน

เรื่องการบริหารจัดการเพื่อให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ไม่ติดขัด มองปัญหาทะลุมองอนาคตขาด ไม่ค่อยจะได้เห็นจากข้าราชการไทย

ปัญหาการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าระหว่างสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ก็เช่นกัน ..เรื่องนี้สะท้อนการวางแผนการคมนาคมที่สำคัญ แต่ทำไม่ในเชิงการวางแผนการบริหารถึงปล่อยให้เกิดช่องว่าง เกิดปัญหาขึ้นมาได้ ทั้งๆที่การลงทุนเหล่านี้มีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเป็นพันเป็นหมื่นล้าน แต่การวางแผนกลับพกพร่อง หากมีการวางแผนการเชื่อมต่อกันตั้งแต่ต้น น่าจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ ลดการเสียโอกาสเสียเวลาไปได้มาก

ซ้ำร้าย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะเร่งแก้ไขจัดการปัญหาโดยเร็ว..กลับเป็นว่า ต้องให้ นายกรัฐมนตรีออกมาสั่งออกมากำชับให้แก้ไขปัญหาโดยเร็วอีก ..แบบนี้จะไม่ให้มีการบ่นดังๆกันได้อย่างไร..

ที่ผ่านมา ข้าราชการเคยชินกับการทำงานตามคำสั่งนาย เพราะไม่อย่างจะรับผิดชอบ เกรงว่าจะเกินหน้า และหรือ มันมีกลไกลบางอย่างที่ไม่เปิดให้ข้าราชการที่คิดดี คิดได้ ได้มีโอกาสในการทำงาน...? การดำเนินโครงการทุกอย่างมันมีค่าดำเนินการเกือบทุกเรื่อง...เก็บผักตบ กำจัดผักตบ..ก็ต้องใช้งบประมาณ...ใครจะอนุมัติงบฯ ใครจะได้งาน ใครจะมีโอกาสได้รับงาน..และ ใครมีโอกาสได้ ค่าหล่อลื่น เรื่องนี้ทำกันมานานจนเคยชิน... ขืนมีข้าราชการระดับล่างไปทำงานโดยประชาชนได้ประโยชน์ แต่นายไม่ได้ค่าหล่อลื่นอาจจะเดือดร้อนเอาก็ได้...ปัญหาทุกอย่างมันเลยถูกกอง ถูกวาง ถูกปล่อยให้ลอยไหลไปตามน้ำ ไหลไปกองทับถมจนปัญหาจากเล็กๆกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาจนได้

แต่ในบางเรื่องบางราว ของระบบการทำงาน เรื่องที่ควรผ่อนปรน เพื่ออำนายความสะดวก เพื่อประโยชน์โดยภาพรวม ก็มีคนบางคนกลับ ยอมไม่ได้ เห็นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ขึ้นมา อย่างกรณี ที่อาจารย์สาวนัดลูกศิษย์ ไปห้องสมุดแต่ไม่สามารถเข้าได้เพราะใส่ขาสั้น เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้า อ้างว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย..? ไอ้เราก็นึกว่า อาจารย์แกใส่สั้นเสมอหู จนอาจเป็นเหตุให้คนใช้ห้องสมุดไม่มีสมาธิในการอ่านการค้นคว้า ข้อมูล แต่เปล่าเลย ขาสั้นที่อาจารย์ใส่ ยาวเลยเข่า ไปซึ่งไม่ได้น่าหวาดเสียวใดๆ เป็นชุดลำลองที่คล่องตัวเสียด้วยซ้ำ

ที่สำคัญ หน้าที่ของห้องสมุดหรือแหล่งค้นคว้าข้อมูล ที่คนดูแลควรจะดีใจยินดีที่มีคนมาใช้บริการ มากๆ ควรจะดึงดูดให้คนมาใช้บริการมาใช้ห้องสมุดกันให้มากๆ ปัจจุบันคนไทยถูกกล่าวหาว่าไม่อ่านไม่ค้นคว้า แม้กระทั้งสารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ ยังมีการลอกกัน จ้างกันเขียนก็มี พอมีคนมาใช้บริการ..กลับยึดระเบียบเสียหนักแน่น ขึ้นมาทันที ก็เลยสงสัยอยู่เหมือนกันว่า หากมีนักศึกษาใส่กระโปรงสั้นมาก มาใช้ห้องสมุด..จะได้รับอนุญาตหรือไม่..?

ในยุคที่ประเทศไทยประกาศตัวจะก้าวไปสู่ยุค 4.0 จะมุ่งสู่สังคมสมัยใหม่ที่มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยนำหน้า เห็นกระทรวงทบวงกรมประกาศตัวกันครึกโครม...ก็ยังสงสัยอยู่ว่า หากแนวปฏิบัติของข้าราชการ ของเจ้าหน้าที่ ยังเป็นแบบนี้ เราจะก้าวไปถึงได้อย่างไร...?

โดย เปลวไฟน้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook