อุทาหรณ์ชีวิต! "ไมค์ ภัทรเดช" เด็กบ้านนอกหลงแสงสีเกือบหมดอนาคต
Thailand Web Stat

อุทาหรณ์ชีวิต! "ไมค์ ภัทรเดช" เด็กบ้านนอกหลงแสงสีเกือบหมดอนาคต

อุทาหรณ์ชีวิต! "ไมค์ ภัทรเดช" เด็กบ้านนอกหลงแสงสีเกือบหมดอนาคต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ผมก็เด็กบ้านนอกคนนึงให้พูดตรงๆ เลยก็หลงแสงสีผมมาเสียตอนมาอยู่กรุงเทพฯ มาประกวด Men's health ก็มีเพื่อนมากขึ้น ไปเที่ยวกันก็ไปเจอแสงสีมีสังคมมากขึ้นแต่ลืมตัวเอง"

"ไมค์ ภัทรเดช" เปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตแบบตรงไปตรงมากับทีมข่าว Sanook! Newsวิทยาลัยดนตรีและศิลปะการแสดง (Superstar College Of Arts) เพื่อหวังว่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเองนั้นจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจเมื่อครั้งที่เป็นวัยรุ่นได้ชีวิตหลงไปกับแสงสีจนเกือบหมดอนาคต "ไมค์ ภัทรเดช" ผ่านช่วงเวลานั้นของชีวิตมาอย่างไร และเขาได้ประสบการณ์อะไรบ้างนั้นต้องติดตาม

เดิมทีไมค์เป็นเด็กที่เติบโตจากครอบครัวคนจีนในจังหวัดขอนแก่น มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน การเลี้ยงดูของครอบครัวไมค์เล่าว่า เป็นไปแบบขาวและดำ แม่จะเป็นสีขาวของลูกเพราะค่อนข้างตามใจ ส่วนพ่อนั้นตรงกันข้าม จึงทำให้ลูกๆ สนิทและพูดคุยกับแม่มากกว่า

"ช่วงตอนเด็กผมยอมรับว่าค่อนข้างเป็นคนเอาแต่ใจ ผมไม่ใช่คนที่มีเงินที่สุด ในห้องเรียน แต่พ่อแม่ให้ผมมากที่สุด มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าเราเป็นเด็กเอาแต่ใจ แต่ก็ยังมีข้อดีอยู่ว่าจะยังไงก็ช่างเรื่องเรียนห้ามเสีย เรื่องเรียนต้องมาที่หนึ่งไม่ทิ้งการเรียน เรียนก็คือเรียนเล่นก็คือเล่นผมเป็นเด็กแบบนั้น"

เลือกวงการบันเทิงแม้ไม่เห็น "อนาคต"

แต่เมื่อวันนึงครอบครัวของไมค์ก็เจอวิกฤตธุรกิจทางบ้านเกิดปัญหาอย่างหนัก ชีวิตที่เคยเป็นเป็นสุขสบายก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อเขาเรียนจบไมค์เล่าว่า ตัวเองต้องเลือกเส้นทางชีวิตเดินบนธุรกิจที่มีรายได้เพียงแค่เลี้ยงตัวเองกับเข้าวงการที่มีรายได้เยอะเป็นแรงจูงใจแต่ยังไม่เห็นอนาคต

"เรื่องเงินต้องยอมรับว่ามันเป็นส่วนสำคัญ แม่ผมทุกข์มานานแล้วผมก็เลยเลือกวงการแม้มันจะเป็นอะไรที่ผมมองไม่เห็นเสี่ยงมันเลย สิ่งเดียวที่ผมคิดคือต้องเป็นพระเอกแต่บทแรกที่ผมได้คือบทรองพระเอกเป็นละครซิทคอม มันยังอยู่ห่างความเป็นพระเอก แต่มันเลือกแล้วแม้เหนื่อยก็ต้องทำ เรื่องที่สองก็ยังเป็นรองพระเอกอีกผมเล่นเรื่องแรกค่าตัวหมื่นกว่าๆ ทั้งหมด 15 ตอน" 

"ถ่ายละครปีกว่าก็คำนวณดูมันจะเหลืออะไรติดลบด้วยซ้ำ มันก็ยังมองไม่เห็นอะไรเลย ก็ต้องมานั่งคิดอีกว่าสิ่งที่เราเลือกที่มองไม่เห็นที่ตอนแรกมองว่าน่าจะสนุก มันกับเริ่มดำดิ่งแล้วทำงานมาเป็นปีไม่มีเงินเก็บซักบาท ยังช่วยอะไรครอบครัวไม่ได้เลย ยังอาศัยบ้านผู้จัดการเหมือนเดิมชั้นสี่ ห้องเล็กๆ ถอยก็ไม่ได้ต้องสู้เราเลือกแล้ว"

ชีวิต "เด็กบ้านนอก" หลงแสงสี

"เรื่องนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตผม ผมก็เด็กบ้านนอกคนหนึ่งให้พูดตรงๆ ก็หลงแสงสีตอนมาอยู่กรุงเทพฯ ช่วงปีสี่เทอมสองและมาประกวด Men's health ก็มีเพื่อนมากขึ้นมีคนหลายๆ แบบมาเจอกันผมก็ไปติดเที่ยวกับเขา ไปเจอแสงสีมีสังคมมากขึ้นแต่ลืมตัวเอง เงินช่วงนั้นก็พอหาได้จากการเดินแฟชั่นเดือนละห้าครั้ง ครั้งงานละห้าพันมันก็ได้อยู่มันก็ทำให้ผมเดินช้าลง"

"และก็ติดสาวจนวันหนึ่งไปกินข้าวกับผู้จัดการที่ร้านอาหารแล้วสาวก็มาหาผมยืนอยู่ตรงกลางผู้หญิงคนนั้นยืนซ้ายผู้จัดการยืนขวา และผู้จัดการก็บอกกลับบ้านกับพี่แต่น้องผู้หญิงเขาก็มาคนเดียวจะให้กลับยังไงผมเป็นผู้ชายก็ต้องขับรถให้เขาผมบอกผู้จัดการผม คือเถียงกันสุดท้ายผมก็เลือกผู้หญิงจนผู้จัดการผมไม่ไหวต้องโทรบอกที่บ้านผมให้มารับกลับบ้าน"

Advertisement

เมื่อการหลงแสงสีทำให้ชีวิตไมค์ดูจะมีไม่อนาคตหลังจากครอบครัวไปรับตัวกลับมาบ้านก็ส่งตัวไปปฏิบัติธรรมที่วัด 7 วัน และการได้อยู่กับธรรมะและความเงียบสงบครั้งนี้ ไมค์บอกว่า คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งสำคัญเพราะตัวเองนั้นมาร้อนอย่างไฟแต่เย็นลงได้เพราะเข้าปฏิบัติธรรม

"เจ็ดวันผมสว่างขึ้นเยอะ มันมีทั้งธรรมะและก็ความเงียบ เก็บเครื่องมือสื่อสารทั้งหมด ทุกวันตื่นตีสามนั่งสมาธิสวดมนต์อยู่แบบนี้ทั้งวัน สามวันแรกผมใจจะเหมือนจะตายอยากออกจากวัด อยากไปหาเพื่อน แต่พอหลังจากนั้นมันเริ่มรู้สึกอยู่ได้เราเริ่มปล่อยวาง เริ่มเห็นภาพชัดขึ้นออกไปแล้วได้อะไร เมื่อวานนั่งแล้วเป็นความอยาก แต่วันนี้เริ่มทบทวนจนกระทั่งครบ 7 วัน ผมมาจากไฟร้อนๆ ธรรมะก็เป็นน้ำเย็นที่ดับผมได้ ผมเปลี่ยนเลยใจนิ่งขึ้นเยอะไม่รู้สึกต่ออะไรง่ายๆ ต่อสิ่งยั่วยุ"

"หลวงปู่สอนผมว่า ชีวิตมันไม่มีอิ่มทำอะไรก็ไม่อิ่ม ถ้าจะรอให้อิ่มมันไม่อิ่มเหมือนกับเดี๋ยวเที่ยวก็เลิกเที่ยวแล้วไม่มีทางมันไม่อิ่มหรอก นอกจากจะบอกตัวเองว่ากินรู้จักเวลา เลยทำให้ผมเข้าใจว่าผมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ออกมาจากวัดไม่ต้องเที่ยวแล้วไม่ผมแค่รู้จักเที่ยวเป็นเวลา สังสรรค์ตามโอกาสมัยเลยสบายๆ มากขึ้น ชีวิตมีเป้าหมายชัดอยากจะกลับไปทำงาน ผมก็กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งตั้งหน้าตั้งตาทำงาน"

เริ่มใหม่ให้ "ความรู้สึกนำทาง" มากกว่าเงิน

"แรกๆ ที่ผมเข้าวงการอย่างที่บอกผมคิดเรื่องของรายได้เงินเป็นหลักทุกอย่างมันเป็นการตลาด แต่พอแค่เปลี่ยนวิธีทำด้วยการใช้ใจทำมันเริ่มมีความสุขมากขึ้นและเงินมันก็มาแบบไม่เหนื่อยแบบไม่รู้ตัว จากเป้าหมายแต่ก่อนจะทำยังไงให้เราได้เงิน เงินเป็นหลัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วใช้ความรู้สึกนำทางเดี๋ยวเงินก็มาความเชื่อเริ่มเปลี่ยนมันทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น เมื่อก่อนเรากดดันเราคิดถึงแต่เงินๆ พอมันไม่ได้เราก็แย่ทุกอาชีพผมอยากจะบอกว่ามันไม่มีอะไรง่ายหรอกมันอยู่ที่ใจ ถ้าคิดเหมือนเดิม เดินเหมือนเดิม ทุกอย่างก็เหมือนเดิม แต่ถ้าเดินแล้วมันอยู่กับที่ต้องรีบคิดใหม่"

"ผมได้เข้ามาทำงานตรงนี้อีกครั้งผมว่าผมตัดออกไปหลายอย่างในสิ่งที่ซุป'สตาร์เขาทำ จุดที่เขาอยู่กันแต่ผมเลือกที่จะอยู่เฉยๆ อย่างที่ผมบอกเงินเริ่มมาทีหลัง ตอนนี้ก็ก็พอส่งที่บ้านได้อยู่ แต่ถ้ามีมากกว่านี้ผมก็ต้องเปลี่ยนตัวเองไม่ธรรมชาติผมมาเอา ผมอยากให้คนเขาเห็นในสิ่งที่เป็นตัวผมไม่ใช่สิ่งที่ผมสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขารู้สึกมันไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่เขาชอบเราเขาควรจะเห็นในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ"

ท้ายสุดไมค์ยังทิ้งข้อคิดกับการใช้ชีวิตหลังจากที่ผ่านประสบการณ์วัยคะนองจนเกือบเสียโอกาส เสียงาน และอนาคตไว้อย่างน่าสนใจว่า

"ผมอยากบอกว่าวงการบันเทิงให้ผมหลายอย่าง เพราะตัวผมเริ่มต้นจากความไม่ชอบวงการมาก่อน อย่างแรกคือความสุขที่ได้ผมมองเรื่องเงินน้อยลงผมให้ความรักกับสิ่งรอบตัวผมมากขึ้นและสิ่งที่ได้กลับมาคือความรักจากสิ่งรอบตัวผมทุกวันนี้มันอิ่มใจมากจนมองข้ามเรื่องเงินไปเพราะว่ามันก็มาอยู่แล้ว ผมอาจจะไม่ได้เป็นพระเอกรวยแต่ผมก็พอมีเลี้ยงครอบครัวและครอบครัวก็ภูมิใจในสิ่งที่ผมเป็นผมกลับบ้านก็มีความสุข ผมเด็กบ้านนอกไงเพื่อนบ้านก็มาเต็มไปหมดมาดูพระเอกๆ ลูกหลานบ้านเราผมแฮปปี้มาก"

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ อุทาหรณ์ชีวิต! "ไมค์ ภัทรเดช" เด็กบ้านนอกหลงแสงสีเกือบหมดอนาคต

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
kookkak

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบน
เว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่
นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้