นักเรียนม.5 ร้องสื่อ ถูกครูพละปาแก้วใส่ ทำหน้าเบี้ยวเสียโฉม

นักเรียนม.5 ร้องสื่อ ถูกครูพละปาแก้วใส่ ทำหน้าเบี้ยวเสียโฉม

นักเรียนม.5 ร้องสื่อ ถูกครูพละปาแก้วใส่ ทำหน้าเบี้ยวเสียโฉม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

(13 ก.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. นางปราณีย์ จอดสันเทียะ อายุ 48 ปี  ได้นำตัว น้องทราย อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในอ.โชคชัย จ.นครราชสีมา พร้อมใบหน้าที่เสียโฉม ปากเบี้ยวตาซ้ายปิดไม่สนิทเข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนประจำจังหวัดปทุมธานี หลังถูกครูพละศึกษาปาถ้วยแก้วเซรามิคใส่ที่ใบหน้าถูกบริเวณคิ้วด้านซ้ายจนประสาทเสีย ใบหน้าเริ่มเบี้ยวและเสียโฉม ตนเองแจ้งความไว้ที่สภ.โชคชัย จ.นครราชสีมา แต่เรื่องกับเงียบสนิท จึงเดินทางมาร้องเรียนต่อสื่อมวลชนก่อนจะเดินทางเข้าพบแพทย์ที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของลูก

น้องทราย ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเวลา 09.00 น. เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2559 ตนเองและเพื่อนในห้องกำลังเรียนวิชาพละศึกษา โดยครูที่ก่อเหตุได้ให้ตนเองนั่งเข้าแถวเพื่อรอการเรียนการสอน แต่จุดที่ตนเองนั่งนั้นมีแดดส่องและร้อนมากตนเองจึงยืนขึ้น จากนั้นครูวิชาพละได้แสดงความไม่พอใจและใช้แก้วน้ำเซรามิคขนาดใหญ่ขว้างมาที่ตน แก้วโดนเข้าที่หัวคิ้วข้างซ้ายจนได้รับบาดเจ็บแผลปูดบวม แต่ครูกลับบอกว่า "กูกะจะโยนให้โดนหัวมึงให้แตก" ตนเองกลับบ้านไปก็ไม่ได้บอกผู้ปกครอง

กระทั่งช่วงกลางดึกตนเองอาบน้ำก็พบว่าขณะแปลงฟันอยู่น้ำในปากได้ไหลออกจากทางขอบปากคล้ายปากตนเองปิดไม่สนิทจึงส่องกระจกก็พบว่าปากเบี้ยวไปทางมุมด้านขวาจนผิดรูปร่าง กระทั่งช่วงเวลานอนตนเองหลับตาก็พบว่าตาด้านซ้ายปิดไม่สนิท จึงแจ้งแม่แล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง จนเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 2559 ได้เดินทางไปแจ้งความที่สภ.โชคชัย หลังจากแจ้งความเสร็จตนได้ขอบันทึกประจำวันกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตำรวจไม่ยอมให้ตนถ่ายสำเนาโดยอ้างว่า กลัวตนจะเอาไปโพสต์ในโลกโซเชียล อาจจะทำให้เสียรูปคดีได้

นางปราณีย์ มารดา เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ ลูกสาวตนเองมีใบหน้าปกติรูปร่างหน้าตาดี ตั้งแต่โดนครูใช้แก้วเหวี่ยงใส่ทำให้หน้าตาเสียโฉม หลังเกิดเหตุ ได้พาลูกเข้าไปพบผู้อำนวยการของโรงเรียน ซึ่งทางโรงเรียนได้เจรจาว่าจะรักษาลูกจนกว่าจะหาย ซึ่งตนรู้สึกดีใจมากที่ทางโรงเรียนออกมารับผิดชอบ ตนจึงได้พาลูกไปเข้ารับการรักษาที่ รพ.ใน จ.นครราชสีมา หลายแห่งแต่ก็ไม่หายเพราะเส้นประสาทส่วน 7 ได้รับความกระทบกระเทือน จึงมาทำการรักษาที่ รพ.รามาฯ ค่าใช้จ่ายคาดว่าไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท จึงได้มีการพูดคุยกับ ผอ.โรงเรียนเพื่อให้ดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกครั้ง แต่ทางโรงเรียนกับยอมจ่ายเพียง 80,000 บาท และให้ไปรักษากันเอาเอง ถ้าไม่รับเงินก้อนนี้ก็ให้ไปฟ้องเอา

ตนเองก็ไม่มีเงินอยู่แล้ว เหตุการณ์เกิดขึ้นผู้เป็นครูก็ไม่สมควรกระทำ แถมเรื่องคดีความก็เงียบหาย และตั้งแต่วันที่เกิดเหตุจนวันนี้ ทางครูผู้กระทำไม่เคยสนใจ หรือโทรมาพูดคุยขอโทษกับการกระทำดังกล่าวเลยสักครั้ง ซึ่งตนก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใครนอกจากให้สื่อมวลชนช่วยเสนอข่าวและให้ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวของตนและลูกสาวตน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook