คนบันเทิงเผยความในใจ ทำไมถึงรักในหลวง รัชกาลที่ 9

คนบันเทิงเผยความในใจ ทำไมถึงรักในหลวง รัชกาลที่ 9

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยังคงทยอยเดินทางมาทำงานจิตอาสาที่ท้องสนามหลวงอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำความดี แจกจ่ายอาหารและเครื่องดื่มให้กับประชาชนที่เดินทางมาร่วมสักการะและถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สำหรับคนในวงการบันเทิง โดยในวันนี้ (20 ต.ค.) ดารา นักร้อง อาทิ บูม กิตตน์ก้อง, ต่าย อรทัย, ไผ่ พงศธร, นนท์ The Voice,เปิ้ล นาคร และ จูน กษมา ได้เผยความประทับใจที่มีต่อในหลวง รัชกาลที่ 9 ว่า

เพื่อทำความดี แจกจ่ายอาหารและเครื่องดื่มให้กับประชาชนที่เดินทางมาร่วมสักการะและถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

"บูม กิตตน์ก้อง" ซึ่งเดินทางมาที่ท้องสนามหลวงวันแรก กล่าวว่า "จริงๆ ผมอยากจะมาตั้งแต่วันแรกแล้วครับ แต่ผมอยู่ที่เชียงใหม่กับทีมงานในกองละครเทิดพระเกียรติเรื่องฝายน้ำใจ เราถ่ายตั้งกันตั้งวันที่ 10 แต่พอถึงวันที่ 13 ช่วงที่เรากำลังถ่ายทำกันอยู่พอจบซีนตรงนั้นคุณอาถั่วแระ เชิญยิ้ม ก็วิ่งเข้ามาในกองทั้งน้ำตา บอกข่าวสวรรคตของพระองค์ท่านกับเรา ตอนนั้นทุกคนในกองช็อกมาก งงกันไปหมด สุดท้ายเมื่อเราถ่ายทำจนเสร็จและได้ออกมาจากป่า โทรศัพท์เราจึงได้ค่อยมีสัญญาณถึงได้ค่อยเริ่มรู้ข่าวอย่างแน่ใจว่าพ่อได้จากเราไปแล้วในขณะที่เรากำลังถ่ายทำละครเพื่อพ่ออยู่"

บรรยากาศในกองถ่ายวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?

"ผมเชื่อว่าทุกคนร้องไห้ มีแต่ผมนี่แหละที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะเราเป็นทหาร เป็นผู้ชาย เราจึงไม่อยากร้องไห้และทำให้คนอื่นต้องอ่อนแอตามไปกับเรา ซึ่งผมก็คุยกับทีมงานทุกคนนะครับว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะตั้งใจถ่ายละครเรื่องนี้จนจบให้ได้ หลังจากนั้นทุกคนต่างทำงานกันวันหนึ่งตก 15 ชั่วโมง ทุกคนอยากทำให้เสร็จเพื่อพระองค์ท่าน"

"ผมเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่เมื่อวานตอนกลางคืน และวันนี้ผมก็ได้มาอยู่ที่นี่ มาอยู่ใกล้ๆ พ่อ จริงๆ แล้วใจผมร้อนมาก ผมอยากมาตั้งแต่วันที่ 13 แล้ว ผมอยากจะบินกลับมาตั้งแต่วันที่รู้ข่าวเลย อยากมาเห็นกับตาว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง และผมก็เป็นห่วงพ่อแม่ผม เพราะทุกคนในบ้านรักในหลวงมาก (น้ำตาซึม) แต่ตอนนี้ก็ทำได้แค่กลั้นน้ำตาเอาไว้และทำตามที่เราตั้งใจ อย่างน้อยเราก็ได้ทำละครเรื่องนี้ให้พ่อเพื่อเทิดพระเกียรติแด่ท่านแล้ว"

เราทำใจอย่างไร หลังทราบข่าวแล้วต้องถ่ายละครเพื่อเทิดพระเกียรติท่านต่อ?

"มันเป็นช่วงเวลาที่ยากมากครับ มันแย่ไปหมด อยากให้ลองคิดดูว่าเรากำลังทำสิ่งสำคัญเพื่อใครคนหนึ่ง และเขาต้องมาจากเราไปในขณะที่เรากำลังทำให้อยู่ แค่คิดเราก็เศร้าแล้วครับ และท่านยิ่งเป็นพ่อหลวงของเรา คือคนที่ประชาชนทุกคนรัก ทุกอย่างมันอธิบายลำบากครับ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจดีว่าความทรมานเป็นยังไง (น้ำตาคลอ)"

การที่เราเลือกเป็นทหารเป็นเพราะเราต้องการตอบแทนคุณแผ่นดินด้วยใช่ไหม?

"เป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกของผมอยู่แล้วครับ ผมตั้งใจเป็นทหารเพื่อตอบแทนแผ่นดินนี้แผ่นดินของพ่อ เป็นเกียรติแก่ชีวิตผมมาก พลทหารกิตตน์ก้อง ขำกฤษ สังกัดกองพันทหารอากาศโยธิน 1 กรมอากาศโยธินรักษาพระองค์ มีคำว่ารักษาพระองค์อยู่ผมก็ภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้วที่ครั้งหนึ่งได้เคยเป็นทหารของพระราชา"

คำนี้ถือเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตของเราเลยใช่ไหม?

"(น้ำตาซึม) ที่สุดในชีวิตของผมแล้วครับ ผมขออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ผมมีโอกาสได้เป็นทหาร มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นเกียรติที่สุดในชีวิตสำหรับนักแสดงคนนี้ ถึงในอนาคตผมต้องปลดออกจากการเป็นทหารแต่ผมก็ปลดแค่ตัว หัวใจผมยังคงเป็นทหารของพระราชาต่อไป ผมสัญญาว่าผมจะทำดีต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตที่เหลืออยู่ผมจะทำความดีอย่างไม่อายใคร ถ้าหากใครมาถามว่าผมทำเพื่ออะไร ผมจะตอบอย่างภาคภูมิใจว่าทำเพื่อพ่อครับ ผมรักพ่อครับ"

ทุกครั้งที่กลั้นน้ำตาต่อหน้าคนอื่น เวลาอยู่คนเดียวเคยแอบร้องไห้บ้างไหม?

"ทุกคืนที่อยู่ที่เชียงใหม่ แต่ช่วงที่ถ่ายละครผมก็พยายามมีสมาธิ ไม่นึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น แต่พอต้องมาอยู่ในห้องคนเดียวมันก็อดไม่ได้ ผมเชื่อว่าทุกคนก็ต้องร้องไห้เหมือนที่ผมร้อง"

อยากบอกอะไรกับน้องๆ รุ่นหลังที่ยังไม่รู้ซึ้งถึงสิ่งที่ท่านทำ?

"ถ้าหากไม่มีใครก็จะมีผมนี่แหละครับที่จะดำเนินตามรอยเท้าพ่อ ทำตามคำสอนของพ่อ ทำตามที่ท่านเลยทำเอาไว้ อย่างน้อยก็เป็นการตอบแทนที่ผมได้เกิดในแผ่นดินที่มีรัชกาลที่9 อย่างน้อยก็ได้ให้คนรุ่นหลังเขาได้รู้ว่าท่านรักเรามากแค่ไหน ผมจะอาสาเป็นคนทำดีต่อไปเพื่อพ่อครับ"

ด้าน นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง "ต่าย อรทัย" กล่าวว่า "ก็รู้สึกอิ่มเอมใจเพราะไม่ใช่เฉพาะแค่คนกรุงเทพ แต่คนต่างจังหวัดก็เข้ามาร่วมแสดงความรู้สึกที่มีต่อในหลวงของเราด้วย พอได้เห็นบรรยากาศของคนไทยในวันนี้ ต่ายคิดว่าทุกคนคงรู้สึกอย่างเดียวกันคืออยากมาแสดงสำนึกของความเป็นลูก ทุกคนมาด้วยใจอะไรที่ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน"

"ย้อนกลับไป ในปี พ.ศ. 2358 ตอนต่ายยังเรียนอยู่ ม.2 วันนั้นโรงเรียนมีประกาศว่าในหลวงจะเสด็จผ่านเพื่อไปยังอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี วันนั้นตื่นเต้นมากๆ ไม่รู้ว่าจะทำตัวกันถูกหรือเปล่า และพอขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านไปเราก็มานั่งคุยกันกับเพื่อนๆ ว่า เห็นพระองค์ท่านหรือไม่ คือตอนนั้นทั้งตื้นตันและก็ปลื้มใจมาก แค่เสี้ยววินาทีก็เป็นความทรงจำที่ยิ่งใหญ่แล้ว"

"ในฐานะที่ตัวต่ายเองก็เป็นนักร้อง เวลาก่อนจะขึ้นทำการแสดงคอนเสิร์ตต่ายก็จะได้สัมผัสกับการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีทุกครั้ง และนั่นคือการแสดงความเคารพพระองค์ท่านในแบบของศิลปินที่ทำงานเพลง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ "ครูสลา คุณวุฒ ก็ได้แต่งเพลง "เล่าสู่ลูกหลานฟัง" ออกมา ซึ่งต่ายได้ร้องเป็นเวอร์ชั่นของผู้หญิง และเมื่อคืน (19 ต.ค.) ก็เพิ่งมีโอกาสได้อัดเพลงนี้พร้อมกับโพสต์ลงสื่อโซเชียลให้แฟนเพลงได้รับฟัง ให้ได้จดจำเพลงนี้ และบอกเล่าสู่ลูกหลายต่อๆ กันไป"

"ความรู้สึกในการถ่ายทอดเพลงนี้ ในฐานะลูกของพระองค์ท่าน ในท่อนที่บอกว่า ให้บอกกับลูกหลานว่าวันนี้อาจจะไม่ได้เห็นพระองค์ท่านแล้ว มันรู้สึกจุกอก ในหลายๆ จุด หลายๆ ช่วงมากจริงๆ ถ้าหากวันหนึ่งต่ายได้มีโอกาสพูดหรือบอกกับเด็กหรือเยาวชนรุ่นหลัง ต่ายก็อยากให้เด็กๆ ทุกคนได้รับทราบว่า ที่ผ่านมาพระองค์ท่านได้ทิ้งสิ่งที่มีประโยชน์และคุณค่าไว้มากมาย หวังว่าน้องๆ จะได้เรียนรู้และสัมผัสถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านที่ถูกบันทึกไว้ ซึ่งต่ายเองก็เป็นบุคลลหนึ่งที่เกิดทันรัชกาลของพระองค์ท่าน แม้จะไม่ทันตั้งแต่ต้น แต่ต่ายก็ได้เห็นมาเรื่อยๆ จนถึงตอนที่พระองค์จากพวกเราไป"

ส่วนนักร้องลูกทุ่งชื่อดังอีกราย "ไผ่ พงศธร" เปิดเผยว่า "วันนี้เอาริบบิ้นกับข้าวมาแจกครับ คือเราอยากจะทำอะไรเพื่อช่วยแบ่งเบาความเศร้าโศก งานนี้เป็นงานของพ่อ ในเมื่อเรารักพ่อเราก็ต้องทำอะไรเพื่อตอบแทนพระองค์ท่านในสิ่งที่เราพอจะทำได้ อีกอย่างพอได้เห็นพี่น้องชาวไทยมีหัวใจดวงเดียวกันเราก็มีความสุข"

"สำหรับพระราชดำรัสของพ่อที่ผมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันก็คงเป็นเรื่องของชีวิตพอเพียง ผมเห็นภาพหนึ่งที่เป็นภาพพระองค์ท่านกำลังปาดเหงื่อที่จมูก ก็คิดเสมอว่าขนาดพระองค์ยังเหนื่อยขนาดนี้เวลาเรามีปัญหาทำไมเราถึงจะก้าวผ่านไปไม่ได้ และอีกอย่างคือ ถ้าเราใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามที่พ่อบอกไว้เราไม่มีวันอดตายแน่นอนครับ อย่างบ้านผมอยู่ ที่อยู่จังหวัดยโสธร มีที่นา 10ไร่ พอเรามีโอกาสได้ยินโครงการตามพระราชดำริ มันคือการทำเกษตรแบบผสมผสานทำหลายอย่างในแผ่นดินเดียวกัน ถึงไม่ใช่ฤดูเราก็สามารถหากินหาใช้ให้ครอบครัวได้ ผมเชื่อว่าเกษตรกรทุกคนยึดถือคำนี้มาตลอดครับ"

"ตลอดอาชีพนักร้องของผม เวลาที่ผมไปร้องเพลงทุกครั้งผมจะยกมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านที่ติดไว้บนผนังห้องอัดตลอด เวลาที่เหนื่อยผมก็จะมองภาพท่านและบอกกับตัวเองว่าเราต้องทำให้ได้ หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่หากนึกถึงพระองค์ท่านผมก็จะมีกำลังใจ"

"นนท์ ธนนท์ จำเริญ" หรือ "นนท์ The Voice" ซึ่งเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา กล่าวว่า "วันนี้เอาน้ำ เอาขนมมาช่วยแจก บรรยากาศอบอุ่นมาก ดีใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในครั้งนี้ มันชื่นใจ วันนี้เป็นวันแรกที่มาเพราะผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา ก็ดึงเข็มออกมาเลย วันนี้แข็งแรงแล้วเลยตั้งใจมา"

ความประทับใจอะไรบ้างที่เรามีต่อในหลวง?

"เรื่องความประทับใจคือเล่ากี่ปีก็ไม่มีวันหมดนะผมว่า ผมเองประกวดร้องเพลงหลายๆ เวทีก็มีโอกาสได้ร้องเพลงพระราชนิพนธ์ของท่านหลายต่อหลายเวที เคยทำหนังสั้นเกี่ยวกับเรื่องราวพระราชกรณียกิจของท่าน เป็นเกี่ยวกับโครงการของพระองค์ท่านเอง ทำให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ทำเพื่อประชาชนคนไทยมากมายขนาดไหน เล่ายังไงก็เล่าไม่มีวันหมด พระองค์ท่านมีแนวคิดหลายๆ อย่างให้พสกนิกรของท่านได้ดำเนินรอยตาม"

หลายคนมองว่าคนรุ่นนนท์อายุ 20 ปี อาจจะไม่ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดหรือเห็นเรื่องราวของท่าน ว่าท่านทำงานหนักมากเลยอาจจะไม่ค่อยได้ซึมซับ?

"ตอนที่ผมเริ่มโตแล้วก็จะได้ทราบราวของพระองค์ท่านก็ตอนที่ท่านทรงพระชนม์พรรษามากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีความผูกพันกับในหลวงรัชกาลที่ 9 มากมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่เราเด็กมากๆ เราจะเห็นแม่ร้องไห้อยู่หน้าทีวี เราก็งงว่าการที่เขาดูข่าวในพระราชสำนักเขาจะร้องไห้ทำไม แม่ก็ตอบกลับมาว่าแม่สงสารพระองค์ท่าน ท่านทรงเหนื่อยทำงานมาตั้งแต่อายุ 10 กว่าปี ทำก็ไม่ใช่เพื่อตัวท่านเอง แต่ทำเพื่อพสกนิกรทั้งนั้น แม่สงสารพระองค์ท่าน

ตอนนั้นเราไม่เข้าใจหรอก แต่พอเราโตขึ้นเราไม่ใช่แค่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ชัดขึ้น แต่เวลาทุกครั้งที่เราได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีผมจะน้ำตาคลอทุกครั้ง ผมรู้สึกว่าตัวเองมีบุญเหลือเกินที่ช่วงชีวิตนี้ได้มีโอกาสเกิดในรัชสมัยของพระองค์ท่าน ได้เกิดทันเห็นพระองค์ท่านในช่วงที่ท่านยังพอได้ทำงานอยู่บ้าง ผมก็พยายามศึกษาหาอ่านข้อมูลของพระองค์ท่านอยู่เรื่อยๆ วิธีแสดงออกของผมคือผมรักท่านด้วยการปฏิบัติดี เราพอเพียง

ถึงแม้ช่วงนี้เราชาวไทยจะอยู่ในช่วงถวายความอาลัยแต่ผมเชื่อว่าเราเองก็ยังต้องมีพรุ่งนี้กันต่อไป วันนี้ที่เราเห็นคือคนไทยเริ่มรักกันมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมชอบมากเพราะนี่คือการรักพระองค์ท่านด้วยวิธีปฏิบัติจริงๆ มอเตอร์ไซต์ฟรี ข้าวน้ำฟรี ผ้าเย็นฟรี หน่อยบริการแพทย์ฟรี นี่คือคนไทยทั้งหมดร่วมแรงร่วมใจจริงๆ มันเป็นอะไรที่มีพลังมากๆ"

ในฐานะที่เราเป็นนักร้อง เราชื่นชอบเพลงพระราชนิพนธ์ของท่านเพลงใด เพราะอะไร?

"มีหลากหลายเพลงเลยครับ อยากจะมีโอกาสร้องบนเวทีให้ทุกคนได้ฟัง แต่บทเพลงพระราชนิพนธ์ไม่ใช่เพลงเล่นๆ เพลงอันดับ 1 ในใจผมคือเพลงแสงเทียน เป็นการพูดถึงชีวิตจริงของมนุษย์ ตั้งแต่วัยที่มีแสงสว่างจนถึงวันที่ไม่มีแสง ชะตาชีวิต อาทิตย์อับแสง เป็นเพลงที่เพราะมากๆ ไม่เคยคิดเลยว่าเพลงเหล่านี่จะแต่งจากราชา ไม่คิดว่าท่านจะเปี่ยมไปด้วยอัจฉริยภาพภาพขนาดนี้มาก่อน ถ้าท่านได้เป็นนักดนตรีท่านจะเป็นอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ"

วัยอย่างเราอาจจะมีบางกลุ่มที่ยังรักในหลวงอย่างไม่ลึกซึ้ง เคยได้เล่าเรื่องราวของพระองค์ท่านให้คนพวกนี้ได้ฟังไหม?

"คนในช่วงวัยเท่าผมจะได้เห็นพระองค์ท่านไม่มาก ผมเองถือว่ามีบุญโชคดีที่พ่อแม่สอนและเล่าเรื่องราวของพระองค์ท่านให้ผมฟังตลอด ผมก็ได้ซึมซับผมจึงรักในหลวง ผมเลยเข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงรักในหลวง แต่ในช่วงคนยุคผมคนจะไม่ค่อยได้เห็นพระราชกรณียกิจ หรือท่านทรงงานมาก ไม่ค่อยได้ดูข่าวในพระราชสำนักกัน ถ้าเขาได้ดูผมว่าเขาก็คงจะเข้าใจและรักในหลวงแบบผม

ถ้าผมได้ทราบหรือเกิดเหตุการณ์อะไรผมก็จะคอยบอกเพื่อนๆ คนที่รู้จักที่เขาไม่ได้คิดแบบเรา เล่าให้เขาฟังว่าพระองค์ท่านทรงเหนื่อยกับเรายังไงบ้าง พยายามบอกไปเรื่อยๆ เท่าที่จะทำได้และมีโอกาส หลายๆ คนก็เริ่มจะเข้าใจ ผมเชื่อว่ามาถึงวันนี้ ตอนนี้คงไม่มีคนไม่เข้าใจแล้วแหละครับว่าทำไมเราถึงรักพระองค์ท่าน คนที่ได้มีโอกาสแต่งกายชุดสีดำมารวมตัวกันทำตรงนี้ แค่เขาได้มาสัมผัสและได้เห็นเหตุการณ์ตอนนี้ผมเชื่อว่าเขาเข้าใจโดยที่ผมไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว"

เราเองน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปรับใช้กับชีวิตคนรุ่นใหม่ยังไงบ้าง?

"เบสิคมากๆ เลยคือการเป็นคนดี และพอเพียง เมื่อเราอยากเป็นคนดี เราจะสามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนควรทำและไม่ควรทำ เมื่อเราทำสิ่งที่ดีแล้วทีนี่ก็ขอให้รู้จักพอ เมื่อเรารู้จักพอเราจะไม่เบียดเบียนคนอื่น แม้เขาจะโดนคนอื่นเบียดเบียน แต่เขาก็จะไม่เบียดเบียนคนอื่นกลับ อยากให้ทุกคนใช้วิธีนี้ไปด้วยกัน วันนี้ผมดีใจมาก ผมได้ยื่นขนมให้เด็กไปผมจำไม่ได้หรอกว่าผมยื่นให้เขาไปแล้ว เขาก็หยิบขนมขึ้นมาให้ดูว่าเขาได้แล้ว เขาพอแล้ว มันเป็นเรื่องที่เล็กมากแต่ทำให้ผมประทับใจมาก เขาอาจจะทำมันโดยที่เขาไม่รู้ตัว ดีใจที่เขาทำโดยไม่รู้ตัว เราดีใจที่ได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ มันเป็นเหตุการณ์ที่ย้ำเตือนเรา จริงๆแล้วต้องเป็นผู้ใหญ่ต่างหากที่เขาต้องทำแบบเด็กคนนี้ ที่เราเห็นผู้ใหญ่บางคนเขาก็จะเอาอีกแม้เขาจะได้ไปแล้ว ผมดีใจมากที่ได้เห็นคนไทยรักพ่อแบบปฏิบัติ ทำตามท่านสอนว่าให้เป็นคนดีและพอเพียง ดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้กับทุกๆคนวันนี้"

อยากบอกอะไรพระองค์ท่านบ้าง?

"อยากบอกท่านว่าจะนำคำสอนของพระองค์มาใช้ ต้องบอกว่าเกิดอีกกี่สิบชาติก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิดมาเจอมหาราชภูมิพลคนนี้รึเปล่า ผมรู้สึกเป็นบุญเหลือเกินที่เราได้เกิดในแผ่นดินของพระองค์ท่าน ได้เกิดทันพระองค์ท่าน ได้รู้ว่าท่านทรงเหนื่อยกับพวกเรายังไง ดีใจมากจริงๆ แม้เหตุการณ์จะทำให้เราคนไทยรู้สึกเสียดาย แม้จะเคยคิดว่าอยากจะมีโอกาสสักครั้งที่ได้ร้องเพลงถวายหน้าพระพักตร์พระองค์ท่านก็ตามหรือถวายงานพระองค์ท่าน แม้จะไม่มีโอกาสก็ไม่เป็นไร แต่ก็เสียดายอยู่ลึกๆ เรารู้สึกว่าเราผูกพันกับท่านมากจริงๆแม้จะไม่เคยเจอไม่เคยได้เห็นพระพักตร์ท่านเลยก็ตาม"

ส่วน ครอบครัวศิลาชัย "เปิ้ล นาคร" และ "จูน กษมา" ก็ได้พาลูกๆ มาด้วย พร้อมกล่าวว่า

จูน กษมา : "วันนี้ได้พาน้องๆ มาด้วยก็อยากให้เขามาช่วยแบ่งปัน แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจอะไรมากแต่ก็อยากให้เขารับรู้ว่าพ่อแม่และคนอื่นๆ มาทำอะไรกัน"

เปิ้ล นาคร : "รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าภาพของงาน เพราะท่านเป็นพ่อของเรา พอท่านสวรรคตเราก็เลยต้องมาดูแลคนที่มางานผมคิดเองนะเป็นส่วนเล็กๆ เอาข้าว อาหาร ร่ม อะไรต่างๆ ที่เราพอจะทำได้มาช่วยบริการ"

เราเห็นภาพที่ทุกคนรักและสามัคคีกันรู้สึกอย่างไรบ้าง ?

จูน กษมา : "จริงๆ แล้วมันอยู่ในนิสัยคนไทยแต่ไม่ได้เอาออกมาใช้กันบ่อยๆ พอเกิดเรื่องแบบนี้เลยได้เห็นภาพที่น่ารักมาก อยากให้ทำดีแบบนี้ทุกวันไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์อะไรมันจะดีมากค่ะ"

เปิ้ล นาคร : "ดีกว่าการรวมตัวกันไปทำอย่างอื่นเยอะๆ บนท้องถนน เห็นภาพที่ทุกคนช่วยเหลือเห็นอกเห็นใจกันก็ชื่นใจ อย่างจูนอีก 3 อาทิตย์จะคลอดลูกผมให้อยู่บ้านก็ไม่ยอม ถึงผมไม่มาด้วยก็เรียกแท็กซี่มา เรียกมาตั้งแต่วันแรกเลย"

ประทับใจอะไรเกี่ยวกับพระองค์ท่านบ้าง?

จูน กษมา : "ถ้าจะบอกความประทับใจพูดไม่หมดเลย แต่จะบอกว่าตั้งแต่สมัยจูนอยู่โรงเรียนประจำ เวลาวันพ่อวันแม่เด็กประจำจะได้กลับบ้าน ซึ่งเมื่อเรากลับไปบ้านเราจะกราบภาพในหลวง เพราะฉะนั้นมันก็เลยจำอยู่ในใจตลอดว่าวันพ่อคือในหลวง แล้วจูนก็ติดตามข่าวพระราชสำนักตลอด ในหลวงท่านอยู่ตั้งแต่เราเกิดแล้วเพราะฉะนั้นเป็นเรื่องธรรมดาเลยที่เขาจะให้เราเต็มหัวใจ"

เปิ้ล นาคร : "มีหลายเหตุการณ์ที่เรามีความผูกพันธ์กับพระองค์ท่าน เอาตั้งแต่เด็กเลยได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนเป็นหัวหน้าลูกเสือของโรงเรียนไปรับเสด็จพระองค์ท่าน และได้เห็นพระองค์ท่านขับรถผ่านช้าๆ แล้วโบกมือให้อย่างใกล้ชิด มีความสุขมาก เป็นภาพที่ติดไปยันโต จนกระทั่งวันนึงได้รับปริญญาบัตรจบมหาวิทยาลัย เรียนมหาวิทยาลัยมา 4 ปี ยังไม่รู้เลยว่าจะได้รับปริญญาบัตรจากใคร จนกระทั่งเหลืออีกไม่กี่เดือนถึงจะรู้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร จะเป็นผู้ประทานปริญญาบัตรให้ ดีใจและตื่นเต้นมาก

จนกระทั่งวันรับก็มีการซ้อมกันให้ก้มหน้าห้ามมองหน้า พอเอาเข้าจริงๆ ก็ขอไม่ทำตามที่เขาสอนขอมองหน้าหน่อยเถอะห่างกันแค่คืบเอื้อมมือเดียว ได้มีโอกาสเห็นหน้าพระพักตร์ท่านรู้สึกชื่นใจมาก มีความรู้สึกว่าท่านให้ความรู้กับเรา ท่านให้ปริญญาบัตรกับเรา ท่านให้การศึกษา เราก็จำ

กระทั่งมีลูกเราก็สอนลูกเล่าให้ลูกฟังว่าท่านคือใคร เล่าแบบเหมือนการ์ตูนเล่าเรื่องง่ายๆ จนกระทั่งเขารู้จักในหลวงเป็นอย่างดี เขาก็เข้าใจ และวันสุดท้ายที่พระองค์ท่านสวรรคต เขาก็ถามว่าแม่ไปไหน เราก็บอกว่าแม่ไปหาในหลวงท่านเสียแล้วนะก็เล่าให้เขาฟัง เขาก็จะถามแบบเด็กๆ เขาถามแบบจริงใจมาก ก่อนนอนก็ชอบเล่าอะไรให้เขาฟัง ก็มีอัดเป็นคลิปด้วยลงในยูทูปเผื่อเขาโตขึ้นเขาจะได้รู้ว่าเขาเกิดในรัชกาลที่ 9 แล้วตอนเด็กๆ เขาพูดถึงรัชกาลที่ 9 แบบนี้นะ"

ความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?

เปิ้ล นาคร : "ภูมิใจมากที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากท่าน จริงๆ แล้วคนที่เรียนจบแล้วได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระองค์ใดก็ตามเราก็ถือว่าโชคดีกว่าทุกคนแล้ว เพียงแต่ของเราตอนนั้นเราไม่ทราบว่าเราเรียนแล้วจะได้รับจากพระองค์ท่าน นั่นก็เลยเป็นภาพที่อีกกี่ร้อยปีก็ลืมภาพนี้ไม่ได้"

เรียกว่าภาพของท่านยังอยู่ในความทรงจำเราตลอด?

เปิ้ล นาคร : "ทีแรกยังเคยคิดว่าขอต่ออายุของพระองค์ท่านได้ไหม ถ้าอายุของเราจะไปต่อให้พระองค์ท่านมีอายุยืนนานต่อไปได้เราก็ยอม เพราะพระองค์ท่านทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมากมาย แต่ก็เคยคิดไว้ตอนขับรถบนทางด่วนแล้วเจอรูปของท่านและตอนนั้นท่านป่วยหนักก็ยังเคยคิดว่าท่านเป็นอะไรไปจะทำยังไง แล้วเราก็ร้องไห้ พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ เราไม่ได้ร้องไห้อะไรเยอะเพราะทำใจมากก่อนแล้ว"

พระราชดำรัสที่นำมาปรับใช้?

เปิ้ล นาคร : "คำสอนของพ่อมีเยอะมากเลยที่นำมาปรับใช้ แต่คำสอนที่จับต้องได้จริงๆ คงเป็นเรื่องของการจะทำอะไรต้องมีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้ได้ อย่างปีที่แล้วเรามุ่งมั่นทีจะทำเจ็ทสกีเฉลิมพระเกียรติข้ามอ่าวไข่ระยะทาง 100 กม. คลื่นลมแรงมาก และในที่สุดเราเจออุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ คลื่นลม อุปสรรคของคน มันเป็นบทเรียนที่สอนให้กับเรา

แล้วคำสอนของท่านนี่แหละคือความเพียรพยายามลองทำอีกครั้งสิแล้วจะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นอุปสรรคคราวที่แล้วถือเป็นเรื่องน้อยนิดเลยเป็นบทเรียนให้กับเรา ตอนนี้ท่านรอดูอยู่บนฟ้า เดี๋ยวจะทำให้พ่อดูว่าลูกพ่อทุกคนมีความเพียรและความพยายามอย่างที่พ่อสอนไว้"

อัลบั้มภาพ 24 ภาพ

อัลบั้มภาพ 24 ภาพ ของ คนบันเทิงเผยความในใจ ทำไมถึงรักในหลวง รัชกาลที่ 9

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook