แดน-บีม ซาบซึ้ง ยก "พ่อหลวง" เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต

แดน-บีม ซาบซึ้ง ยก "พ่อหลวง" เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต

แดน-บีม ซาบซึ้ง ยก "พ่อหลวง" เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นอีกสองศิลปินที่ได้เข้าร่วมเล่นละครเทิดพระเกียรติ เราเกิดในรัชกาลที่ 9 สำหรับสองนักร้องหนุ่ม "แดน วรเวช" และ "บีม กวี" ซึ่งทั้งคู่ได้ออกมาเปิดใจว่า รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจมากที่มีส่วนได้ร่วมเล่นละครเทิดพระเกียรติครั้งนี้โดยถือว่าได้ตอบแทนพ่อหลวงเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมเผยความตั้งใจว่าจะดำเนินชีวิตโดยมีในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นแบบอย่าง และจะนำเรื่องราวความดีของท่านเล่าสู่ให้ลูกหลานฟังสืบต่อไป

รู้สึกยังไงบ้างที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในละครเทิดพระเกียรติเรื่องนี้ ?
แดน - "มันคือสิ่งที่เรารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจในความเป็นคนไทย อยากซื้อซีรี่ย์ที่บอกว่าเราเกิดในรัชกาลที่ 9 นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เราสองคนจะทำได้ ซึ่งเราก็จะทำให้เต็ม"
บีม - "จริงๆ เป็นโอกาสที่ดี ที่ผมจะได้ตอบแทนในหลวงเป็นครั้งสุดท้ายครับ แล้วผมก็ต้องขอบคุณผู้กำกับและทีมงานที่ให้โอกาสเราสองคนได้มาร่วมงานในครั้งนี้ คนเขียนบทก็เก่งมากสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ จนกระทั่งมาถึงวันที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตได้ เราก็อยากให้ทุกคนได้ติดตามดูครับ"
แดน - "ชื่อของตอนของเรามีอยู่ว่า บ้านของพ่อ เราตั้งใจที่จะถ่ายทอดออกมาให้คนไทยได้รู้ว่านี่คือคำสอนของพ่อ ที่ท่านคอยบอกคอยสอนพวกเราอยู่เสมอว่าให้พวกเรารักกัน เกิดเป็นคนไทยด้วยกันอย่าทะเลาะกัน ซึ่งในเรื่องเราสองคนจะต้องเล่นเป็นพี่น้องที่ทะเลาะกันบ่อยๆ บางทีเรื่องที่ทะเลาะกันมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยแต่เราก็ยังทะเลาะ"
บีม - "ผมคิดว่าเรื่องนี้ดีเพราะสามารถตีความสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ อย่างตอนนี้ที่คนไทยทะเลาะกัน เราก็อยากให้ดูว่าสองคนนี้จะทำอย่างไรต่อไปในวันที่ไม่มีพ่ออยู่ในบ้านแล้ว"

วันที่ทราบข่าวว่าพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตเราสองคนทำอะไรอยู่ ?
แดน - "วันนี้ทราบข่าวผมกำลังจะเดินทางไปซ้อมคอนเสิร์ตครับ ตอนนั้นอยู่ในลานจอดรถ ก็เลยรีบขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันเศร้าไปหมด เศร้ามากๆ ครับ"
บีม - "ตอนนั้นผมอยู่ที่บ้านครับ จำได้เลยว่าวันนั้นวุ่นวายมาก ถ้ามันมีข่าวลือออกมาเยอะแยะมากมายไปหมด คือมีคน บอกมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วแต่ผมก็ยังไม่เชื่อ จนช่วงเวลา 6 โมง ผมก็เริ่มที่จะแน่ใจแต่ก็พยายามโทรหาคนที่รู้จัก เพราะผมรู้ว่าแฟนผมต้องเสียใจมากๆ ตอนนั้นผมก็เลยต้องรีบโทรบอกให้เขากลับบ้าน เพราะผมไม่อยากให้เขาต้องขับรถคนเดียว ซึ่งพอเค้ากลับถึงบ้านปุ๊บก็มีแถลงการณ์ออกมา จากนั้นเขาก็เดินเข้ามากอดผมแล้วร้องไห้เราสองคนร้องไห้ไปด้วยกัน มันเป็นบรรยากาศที่แปลกมากๆ ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตจะมีแบบนี้ แต่ผมก็บอกกับคนรอบข้างว่า ชีวิตต้องเดินต่อไป ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำได้ก็คือการบอกเล่าเรื่องราวให้คนในยุคถัดไปได้รับรู้ ว่าเราเคยมีพระเจ้าอยู่หัวที่ดีขนาดไหน จริงๆผมเองก็เสียใจมากที่มีลูกไม่ทันเกิดในยุคนี้ แต่ไม่เป็นไรเรายังสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้เพราะยังมีคลิปวีดีโอต่างๆ ที่สามารถบอกเล่าพระราชกรณียกิจขององค์ท่าน ซึ่งผมก็พยายามเก็บไว้ให้ได้มากที่สุด"

เราสองคนเคยมีโอกาสได้ถวายงานต่อหน้าพระองค์ท่านบ้างหรือเปล่า ?
บีม - "ไม่เคยครับ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมเสียใจมากๆ ที่ไม่มีโอกาส แต่อย่างน้อยเราทั้งสองคคนก็เคยร้องเพลงพระราชนิพนธ์ให้พ่อเพียงแต่ไม่ใช่ต่อหน้าพระองค์ท่าน"

สำหรับแดนเรามีแผนที่จะแต่งเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างไหม ?
แดน - "จริงๆผมก็ได้แต่งเพลงกับพี่เอ๊ะ ละองฟองไว้ครับ ซึ่งเพลงนี้ผมเป็นคนร้อง โดยเนื้อเพลงมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การใช้ชีวิตหลังจากนี้ที่มีคำสอนของพ่อเพราะช่วงนี้ทุกคนต้องผ่านช่วงเวลาที่ต้องเศร้าโศกเสียใจ เราต้องพูดถึงเรื่องอนาคตด้วยว่าอนาคตเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรซึ่งจุดเริ่มต้นอย่างแรกเราต้องเน้นเรื่องความรักความสามัคคี เพราะวันนี้พ่อไม่อยู่แล้วเราต้องอยู่คอยเตือนซึ่งกันและกัน"

พระองค์ท่านเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตของเราสองคนยังไงบ้าง ?
บีม - "เรื่องการทำงานหนักและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคครับ ท่านมีความคิดความอ่านที่ดีที่ทำให้สังคมเราดี โดยที่ท่านไม่เคยเอาแต่ตัวเองทางจะคิดถึงแต่ส่วนรวม ซึ่งมันเป็นหลักยึดถือที่ดีครับ อย่างผมเป็นนักดนตรี และพอได้เห็นพระองค์ท่าน มีอัจฉริยภาพในด้านนี้ด้วย ทรงผมเชื่อว่าท่านทำได้ทุกอย่าง ซึ่งจุดตรงนี้แหละที่ทำให้เรายึดและนึกถึงท่านอยู่เสมอ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook