โค้งสุดท้าย! ศึกทำเนียบขาวอาจพลิกล็อก จับตาดัชนีตลาดหุ้นเข้าทางผู้ท้าชิง
8 พฤศจิกายน 2559 วันเลือกตั้งครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแน่นอนว่าวาระที่มีการจับตามากที่สุดคือการลงคะแนนเลือกตั้งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ต่อจากนายบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครตที่บริหารประเทศครบวาระ 2 เทอมแล้ว โพลล์หลายสำนักอาจจะพอให้แนวโน้มแต่ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าใครจะเป็นผู้กำชัยชนะ ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ตัวแทนพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของรายการเกมโชว์ชื่อดัง ตัวแทนพรรครีพับลิกัน
ล่าสุดบทวิเคราะห์ของ Moody’s Analytics ซึ่งคาดการณ์ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯอย่างแม่นยำมาแล้ว 9 ครั้งที่ผ่านมา ทำนายว่า นางคลินตันน่าจะชนะโดยได้รับโหวตจากคณะผู้เลือกตั้ง 332 เสียง นำนายทรัมป์ที่คาดว่าจะได้เพียง 206 เสียง ทั้งนี้วิเคราะห์จากหลากปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่หลักๆคือ ราคาเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับต่ำและคะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีโอบามาที่ยังอยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับคาดการณ์ของโพลล์ Reuters-Ipsos ที่ระบุว่าคลินตันจะเป็นผู้ชนะเช่นกัน โดยความเป็นไปได้ที่ว่าเธอน่าจะคว้าอย่างน้อย 278 เสียงของคณะผู้เลือกตั้งมีสูงถึง 95%
อย่างไรก็ตาม คณะนักวิจัยของมูดี้ส์ฯยอมรับว่า ผลที่ออกมาข้างต้นวิเคราะห์บนพื้นฐานตัวแปรด้านเศรษฐกิจและสภาวะทางการเมือง ไม่ได้รวมถึงลักษณะจำเพาะหรือเรื่องราวชีวิตของผู้สมัครในฐานะปัจเจกบุคคลซึ่งอาจมีผลต่อผลการเลือกตั้งเช่นกัน นอกจากนี้ เมื่อคำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละมลรัฐและบริบทในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป การคาดการณ์ดังกล่าวก็ยังอาจคลาดเคลื่อนได้
ราคาทองมีแต่จะพุ่งขึ้น
ใครจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังไม่แน่นอนนัก แต่บทวิเคราะห์ของธนาคาร HSBC ระบุฟันธงว่า ผู้ชนะที่แน่ๆคือนักลงทุนในตลาดทองคำ นายเจมส์ สตีล หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดโลหะมีค่าของ HSBC กล่าวว่า ถ้าหากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะจะมีแรงหนุนราคาทองคำให้สูงขึ้นมากกว่ากรณีที่นางฮิลลารี คลินตัน ชนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครคือผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป เชื่อว่าราคาทองคำจะทะยานสูงขึ้นอย่างน้อย 8% จากราคาปัจจุบัน
ทั้งนี้ เนื่องจากทั้ง 2 ผู้สมัครมีนโยบายการค้าที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าจะหนุนราคาทองคำให้สูงขึ้น เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ทองคำเป็นสินค้าคอมมอดิตี้ที่นักลงทุนมองว่าเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ช่วยลดทอนความเสี่ยงในกรณีที่บรรยากาศการค้าระหว่างประเทศเต็มไปด้วยมาตรการตั้งกำแพงปกป้องตัวเองหรือกีดกันทางการค้า (protectionism) สำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ จากฝั่งรีพับลิกันนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะบนเวทีหาเสียงตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขายืนยันถึงการรื้อข้อตกลงการค้าเสรีที่เคยทำไว้ให้เอากลับมาเจรจากันใหม่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้สหรัฐอเมริกา ฉะนั้นแนวโน้มนักลงทุนจะเทมาหาทองคำเพื่อลดความเสี่ยงด้านการลงทุนนั้นมีสูงมาก แม้แต่ฟากนางคลินตันจากเดโมแครตที่สนับสนุนการค้าเสรีมากกว่าฝั่งเดโมแครต ก็ยังมีการกล่าวถึงการเจรจาทบทวนข้อตกลงเอฟทีเอที่ทำไปแล้วเช่นกัน บรรยากาศเช่นนี้เป็นผลบวกต่อราคาทองคำ
นักวิเคระห์ของ HSBC คาดการณ์ว่า ถ้าทรัมป์ชนะ ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นไปที่ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ จากราคาปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 1,289 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ แต่ถ้านางคลินตันชนะ คาดว่าราคาทองคำจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังทำนายว่า ถ้าเดโมแครตกวาดที่นั่งส่วนใหญ่ในรัฐสภาได้ นั่นก็จะยิ่งทำให้ความต้องการลงทุนในทองคำพุ่งสูงขึ้นไปอีกเพราะเป็นไปได้สูงว่า สภาคองเกรสที่ครองโดยเดโมแครตจะอนุมัติการลงทุนใช้จ่ายผ่านงบประมาณภาครัฐสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เจมส์ บัตเทอร์ฟิล หัวหน้าฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์การลงทุนของ อีทีเอฟ ซีเคียวริตี้ส์ ให้ความเห็นสนับสนุนแนวโน้มทิศทางบวกของราคาทองคำโดยมีการมองข้ามช็อตไปหลังการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ด้วยว่า หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี ราคาทองคำอาจขยับสูงขึ้นได้มากถึง 10% ภายในเวลา 1 ปีแรกที่เขากุมบังเหียนบริหารประเทศ เหตุผลสนับสนุนการคาดการณ์ดังกล่าว คือเชื่อว่านักลงทุนจะแห่ไปพึ่งทองคำเพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในเชิงนโยบายของทรัมป์และจากแนวโน้มที่ว่าเงินเฟ้อน่าจะสูงขึ้นภายใต้การบริหารงานของมหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์คนนี้ (ซึ่งมาจากท่าทีในการหาเสียงของทรัมป์เองที่ขู่ฟอดว่าจะลดทอนการทำงานที่เป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด)
บัตเตอร์ฟิลซึ่งศึกษาการขึ้น-ลงของราคาทองคำนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 (พ.ศ. 2471) ครอบคลุมการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 22 คน พบว่า ในยุคที่การเมืองไม่แน่นอน คาดเดาสถานการณ์ยากหรือคาดไม่ได้ ผู้คนจะแห่มาลงทุนทองคำและทำให้ราคาสูงขึ้น ต่างจากช่วงที่การเมืองนิ่งๆไม่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ราคาทองคำจะไม่ขยับขึ้นมากนัก “ถ้าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี เขาน่าจะเป็นประธานาธิบดีที่เราไม่สามารถคาดเดาอะไรล่วงหน้าได้มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับประธานเฟดและนโยบายการเงิน”
แล้วตลาดทุนว่ายังไง?
สัญญาณบ่งชี้อย่างหนึ่งที่นักวิเคราะห์มักจับตาเป็นพิเศษก่อนการเลือกตั้งคือ ความเคลื่อนไหวในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ และเมื่อมอง ณ จุดนี้ ลางแห่งชัยชนะไม่อยู่ในฝั่งของนางคลินตันจากพรรคเดโมแครต
ที่กล่าวเช่นนี้อ้างอิงผลการวิเคราะห์ของ StrategasReserch Partners LLC ที่ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงของตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ มักส่งสัญญาณบอกผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกๆครั้งนับตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา นักวิเคราะห์ให้สังเกตไว้ว่า ถ้าดัชนีดังกล่าวอยู่ในทิศทางขาขึ้นในช่วงเวลา 3 เดือนก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง พรรคที่เป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนั้นเป็นฝ่ายกำชัยชนะมาแล้ว 86% จากการเลือกตั้งทั้งหมดนับจากปี1928
แล้วตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร? นับตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2559 เป็นต้นมา ดัชนี S&P 500 ขยับลดลงมาแล้ว 3.6% และหากเจาะลึกลงไป วันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ลดลงมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์คือต่ำหลุด 2,100 จุด (ลดลง 2,111.72 จุด) ก่อนที่จะปรับขึ้น สถิติยังชี้ว่านี่คือการลดลงเป็นเวลายาวนานที่สุดนับจากเดือนสิงหาคม 2558 ดังนั้น ถ้าว่ากันตามสถิติที่เคยมีมานี่คือลางดีสำหรับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้าน
ว่ากันตามเหตุผลก็คือความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวของตลาดที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ราคาหุ้นที่หล่นลงมักจะสัมพันธ์กับความไม่พอใจของผู้บริโภคซึ่งก็คือประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ดังนั้นถ้าผู้บริโภคไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจหรือไม่พอใจกับสภาวะปากท้องก็มักจะเลือกเทคะแนนให้กับผู้สมัครที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แดเนียลคลิฟตัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยนโยบายของ StrategasReserch Partners LLC ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า คนอาจจะพูดว่าคลินตันน่าจะเป็นฝ่ายชนะ แต่พวกเขาก็คงไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งที่เป็นความหวาดวิตกในเง่เศรษฐกิจ สัญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเพิ่มมากขึ้นเมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามา ดัชนีต่างๆด้านเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้ไม่น่าประทับใจนักสำหรับฝั่งรัฐบาล ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ชะลอตัว ความมั่นใจของผู้บริโภคที่วัดกันรายเดือนก็ลดลงต่ำสุดในรอบปี
สำหรับคลินตันเอง ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ยังถูกกรณีใช้อีเมลส่วนตัวระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศย้อนกลับมาเล่นงานอีกครั้งทำให้คะแนนความนิยมลดวูบอย่างเห็นได้ชัดจนมีช่วงที่คะแนนนิยมในตัวนายโดนัลด์ ทรัมป์กลับมานำ นั่นคือในวันอังคารที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ผลการสำรวจของสำนักข่าวเอบีซี นิวส์ร่วมกับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ชี้ว่า คะแนนนิยมของทรัมป์ขยับขึ้นมาเป็น 46% แซงนางคลินตันที่ได้ 45%
เวลาก่อนการเลือกตั้งงวดเข้ามาทุกที นับเป็นเวลาที่ตลาดเงินตลาดทุนมีความอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่งและโลกกำลังจับตาการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยใจระทึก