โจนัส ขอเป็นตัวแทนชาวต่างชาติ บอกเหตุผลทำไมถึงรักในหลวง ร.9
เป็นอีกหนึ่งชาวต่างชาติที่หลงรักความเป็นไทยสุดหัวใจ สำหรับนักร้องลูกทุ่งหนุ่ม "โจนัส แอนเดอร์สัน" ซึ่งครั้งนี้เจ้าตัวได้ขอเป็นตัวแทนของชาวต่างชาติบอกเล่าความประทับใจที่ครั้งหนึ่งเคยได้อยู่ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมบอกจากนี้ไปขอนำคำสอนพระองค์ท่านมาปรับสอนให้ลูกหลานได้เรียนรู้
ในฐานะที่เราเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย เราได้ซึมซับพระเมตตาของพระองค์ท่านอย่างไรบ้าง?
"เรื่องราวของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจมากเพราะผมได้ศึกษาเรื่องของโครงการในพระราชดำริพอสมควร อาจจะไม่ได้สันทัดมากแต่เป็นวิ่งที่ผมชอบศึกษาและอยากใฝ่รู้มาตลอดเวลา สำหรับตัวผมเองก็รู้สึกจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านโดยตลอด เป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นบุคคลของโลกที่ได้ฝากสิ่งดีๆ ไว้ในประวัติศาสตร์เยอะมาก ด้วยโครงการของพระองค์ท่าน ด้วยความคิดของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะเป็นพระราชดำริหรือพระราชดำรัสที่พระองค์ทรงเดินทางไปทุกที่ทั่วประเทศไทย เพื่อที่จะได้ดูเรื่องราวความทุกข์สุขของราษฎรอย่างจริงจัง ซึ่งพอผมได้เห็นผมรู้สึกปลาบปลื้ม ประทับใจ และภูมิใจที่สุด ทุกครั้งที่ได้ร้องเพลงเทิดพระเกียรติทุกครั้งที่ได้ร้องเพลงของพ่อ มันเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมากในฐานะของศิลปินเลยครับ"
ได้อยู่ในแผ่นดินไทยของในหลวงรัชกาลที่ 9 รู้สึกอย่างไรบ้าง?
"ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนไทยแต่ผมก็รู้สึกภูมิใจและโชคดีมากครับ ที่ผมเกิดในช่วงรัชกาลที่ 9 เช่นกัน ต่อให้ผมเป็นชาวต่างชาติก็ช่างแต่พระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างให้กับคนทั้งโลกเลย และตัวผมเองก็จะยึดถือตลอดเวลาว่าเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน ตั้งแต่ที่ผมได้ดูสารคดีเกี่ยวกับพระองค์ท่านว่าได้ทรงงานมาตลอดเวลา 70 ปี ตั้งแต่ตอนที่ผมได้มีโอกาสเข้าร่วม อบรมลูกเสือชาวบ้านได้รับผ้าพันคอพระราชทานที่บ่งบอกว่าเป็นลูกเสือชาวบ้านของพ่อหลวงและของคนไทย ผมได้มีโอกาสรวมกับกลุ่มของลูกเสือชาวบ้านเพื่อรอรับเสด็จในช่วงของเทศกาลวันพ่อ ซึ่งผมรู้สึกภูมิใจทุกครั้งเลย และรู้สึกปลื้มใจมากๆ กับคำสอนของพระองค์ กับสิ่งที่พระองค์ท่านได้เป็นแบบอย่างให้เราเห็น มันเป็นความตั้งใจของผมที่อยากจะนำสิ่งที่พระองค์สอนมาใช้ในชีวิต และจะนำการใช้ชีวิตของพระองค์ท่านมาเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตของผมด้วยครับ"
เราเป็นชาวต่างชาติก่อนหน้านี้เคยสงสัยไหมว่าทำไมประชาชนทุกคนรักพระองค์ท่าน?
"ช่วงแรกที่เข้ามาผมยังเด็กอยู่ครับ และด้วยความที่ว่าผมเป็นคนสวีเดนซึ่งที่ประเทศสวีเดนนั้นก็มีพระมหากษัตริย์เช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรเท่าไหร่ คงเป็นความรู้สึกที่พสกนิกรของประเทศนั้นๆ จะมีความรู้สึกภูมิใจต่อพระมหากษัตริย์ แต่พอผมได้อยู่ที่ประเทศไทยสักพักหนึ่งก็เริ่มซึมซับสิ่งที่พระองค์ท่านได้สอนและทำ จึงทำให้เริ่มรู้สึกประทับใจมากขึ้นตลอดเวลา ผมคงจะพูดแทนชาวต่างชาติได้ว่า 60 ปีที่พระองค์ท่านได้ครองราชย์ และทั่วฟ้าเมืองไทยสวมใส่เสื้อสีเหลืองกันทั้งหมด มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอึ้งพอสมควร เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมได้เห็นความยิ่งใหญ่ในระดับนี้ เพราะถ้าพูดกันตรงๆ สีเหลืองเป็นสีที่ใส่ยากในระดับหนึ่ง เป็นสีที่ฉูดฉาดมากและในชีวิตประจำวันคงจะไม่ได้เลือกใส่กันเยอะขนาดนี้ แต่ช่วงเวลานั้นไม่มีใครได้คิดถึงเรื่องตรงนี้เลยทุกคนพร้อมใจกันที่จะใส่ ผมมีญาติมีเพื่อนที่มาจากเมืองนอกพวกเขายังหาซื้อเสื้อเหลืองใส่กันเลย เพราะเขารู้สึกว่าบรรยากาศในเวลานั้นมันยิ่งใหญ่มาก อยากจะเป็นอีกส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาแบบนั้น"
"และที่ผ่านมาไม่นานคุณพ่อคุณแม่ผมเพิ่งจะเดินทางมาที่เมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมและมาทำธุระ ซึ่งเขามีเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์ และในสองอาทิตย์นานก็แทบจะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ แต่ท่านทั้งสองได้ตั้งใจว่าต้องมีสักวันนึงที่จะไปสนามหลวงให้ได้ เพราะเวลานี้ถือว่าเป็นเวลาของประวัติศาสตร์จะต้องมีโอกาสได้พบเห็นด้วยตาของตัวเอง ผมก็ได้บอกท่านทั้งสองว่ามันไม่มีรถเข้าไปจะต้องเดินเข้าไปด้วยตัวเองนะ ซึ่งท่านทั้งสองได้ตอบกลับมาว่า 'ไม่เป็นไรเดินได้ ลำบากแค่ไหนแต่ก็ต้องไปให้ได้' ก่อนหน้านี้ที่พ่อกับแม่ผมทราบข่าวว่าพระองค์ท่านเสด็จสวรรคต ท่านน้ำตาซึมทันทีเลย ทั้งที่ท่านไม่ได้อยู่เมืองไทยมา 20 ปีแล้ว แต่ท่านรับรู้ได้ถึงความรู้สึกคนไทยที่รักพ่อหลวง และตัวเองก็เคยเห็นบารมีของพระองค์ท่าน เคยเห็นความจริงใจที่บุคคลหนึ่งได้ทำเพื่อบ้านเมือง ทำเพื่อประชาชน ทำเพื่อราษฎร ทำเพื่อโลกจริงๆ"
ต่อจากนี้เราจะสอนลูกสอนหลานอย่างไรบ้าง?
"พระองค์ท่านสำหรับผม คือแบบอย่างของโลกในระดับคุณแม่เทเรซา ดาไลลามะ และคานธี เป็นบุคคลที่ทรงเป็นแบบอย่างและนักปราชญ์ เป็นผู้มีปัญญาของโลกนี้ เพราะฉะนั้นตัวของผมเองตั้งใจจะสอนลูกหลานในทุกๆ เรื่องที่พ่อได้สอน ที่สำคัญคือพระองค์ท่านไม่ได้แค่สอนแต่พระองค์ท่านทรงทำด้วยตัวเอง และทรงเป็นแบบอย่างให้เราได้เห็น ท่านไม่ได้มานั่งบอกให้เราต้องเสียสละแต่พระองค์ท่านได้เสียสละเพื่อบ้านเมือง ท่านไม่ได้บอกให้เราพอเพียงแต่ท่านทรงพอเพียงในแบบอย่างของตัวท่านเอง"
"ผมประทับใจมากเพราะครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสได้รับเสด็จในวันพ่อ ได้เห็นพระองค์ท่านทรงขับรถมาด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นรถเก๋งที่ธรรมดามาก ทุกครั้งที่ผมเล่าเรื่องนี้ผมจะน้ำตาซึมตลอด เพราะนี่คือแบบอย่างที่ไม่เคยมีในโลก ไม่เคยมีพระมหากษัตริย์ที่จะทรงขับรถด้วยตัวของพระองค์ท่านเองและมีพระบรมวงศานุวงศ์ประทับอยู่ในรถด้วย นี่คือแบบอย่างพระองค์ท่านไม่ได้สอนแค่ให้เราพอเพียง แต่พระองค์ท่านทรงทำให้เราเห็นด้วยตาจริงๆ ครับ"
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ