ดราม่าไม่จบ คนมหาสารคามรวมตัวแจ้งความ "เบสท์ อรพิมพ์"
ชาวมหาสารคามรวมตัวแจ้งความ เบสท์ อรพิมพ์ หมิ่นประมาทคนท้องถิ่นและชาวอีสาน ไม่ต้องการถูกตราหน้าว่าเป็นประชาชนไม่รักพระองค์ท่าน พร้อมเตรียมแจ้งความในทุก สภ.
(21 พ.ย.) เมื่อเวลา 16.00 น. ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองมหาสารคาม นายศุภากร ปัตตะพงศ์ อายุ 53 ปี นายมัฆวาน พยัคเค อายุ 36 ปี และ นางวัชรพรรณ อุปแสน อายุ 48 ปี ได้มาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ พ.ต.ท.สมพงษ์ เยาวนิจ รองผู้กำกับสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองมหาสารคาม กรณี นางสาวอรพิมพ์ รักษาผล หรือ เบสท์ นักพูด ได้กล่าวดูหมิ่นคนอีสาน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2559 ณ หอประชุม 80 พรรษามหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม
นายศุภากร กล่าวว่า ตนและเพื่อนเพิ่งจะได้ทราบและติดตามข่าวดังกล่าว เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จึงได้นำคลิปมาเปิดดู และมีความเห็นว่าควรจะต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ เบสท์ อรพิมพ์ กรณีดูหมิ่นศักดิ์ศรีของคนอีสาน ที่ว่าคนอีสานไม่รักสถาบัน โดยได้ถอดคำพูดของ เบสท์ อรพิมพ์ ในเทปที่บันทึกการบรรยายดังกล่าว
ซึ่งจากคลิปดังกล่าวพูดที่มหาสารคามและชี้ให้เห็นว่า คนมหาสารคามและคนอีสานไม่จงรักภักดี เป็นพวกที่ในหลวงทรงทำให้ทุกอย่าง แต่คนอีสานลืมพระองค์ เหมือนเป็นพวกลืมบุญคุณ แปลกใจที่คนอีสานลืมในหลวง แต่คนภาคอื่นไม่ลืม
โดยพวกตนทั้งหมดที่มาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษในวันนี้ เป็นตัวแทนจากอำเภอวาปีปทุม อำเภอโกสุมพิสัย และอำเภอเมืองมหาสารคาม ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดมหาสารคาม ที่ เบสท์ อรพิมพ์ มาบรรยาย และได้พิจารณาคำพูดแล้วเห็นว่าเหมือนเป็นคำพูดหมิ่นประมาทคนอีสานทั้งหมดทั่วประเทศ เพราะผู้พูดส่อเจตนาให้เข้าใจว่าคนอีสานทุกคนทั้งภาคอีสาน ไม่เคารพรักและไม่สำนึกในบุญคุณของพระองค์ท่าน ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการพูดเพื่อความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าผู้คนฟังทั่วไปไม่คิดให้ถี่ถ้วน ก็จะโกรธ เกลียดชังคนอีสาน หากลูกหลานไปศึกษาต่อหรือไปทำงานก็อาจได้รับผลกระทบ
หลังจากนี้ไปทางเครือข่ายก็จะทยอยเดินทางเข้าแจ้งความในทุกๆ สถานีตำรวจในพื้นที่ เพราะพวกเราคนอีสานได้รับความเดือดร้อน กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า นางสาวอรพิมพ์ อาจจะได้ความคิดที่ถูกปลูกฝังมาว่า คนอีสานไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน ไม่ได้มองลึกถึงแก่นแท้ของคนอีสานว่าเป็นอย่างไร
คนอีสานเปรียบพระองค์ท่านเหมือนเทพเหมือนเทวดา รูปทุกบ้านมีติด นางสาวอรพิมพ์คงมโนไปเองว่าคนอีสานไม่รักในหลวง ส่วนระยะเวลาการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจคงให้เป็นไปตามกระบวนการสืบสวนสอบสวน หาหลักฐานต่าง ๆ มาประกอบเราจะไม่บีบคั้นการทำงานของเจ้าหน้าที่
ด้าน พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เปลี่ยนขำ รักษาการผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองมหาสารคาม กล่าวว่า ทางสถานีตำรวจภูธรเมืองมหาสารคาม ได้รับเรื่องไว้ โดยจะตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเอกสารที่นำมายื่นให้กับเจ้าหน้าที่นั้น มีข้อมูลที่แสดงถึงความผิดที่กล่าวหาหรือไม่ หากแสดงถึงความผิดที่ทำให้คนอีสานเสียหาย ก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมายแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอดูในรายละเอียดก่อน