ผอ.สำนักพุทธฯยืนยันยังหาพระแปลงเพศไม่พบ

ผอ.สำนักพุทธฯยืนยันยังหาพระแปลงเพศไม่พบ

ผอ.สำนักพุทธฯยืนยันยังหาพระแปลงเพศไม่พบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผอ.สำนักพุทธศาสนา จ.ลำพูน ระบุ ยังหาพระที่แปลงเพศไม่พบ ยอมรับมีพระถูกจับสึกหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่เรื่องหนีเที่ยว

(6ก.พ.) นายสุรชัย ขยัน ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนจังหวัดา (พศจ.) ลำพูน กล่าวว่า ขณะนี้ได้เข้าไปตรวจสอบและรายงานให้ผู้ว่าฯ และเจ้าคณะจังหวัดทราบ พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่ออกติดตามพฤติกรรมของพระในวัดที่มีการร้องมาแล้ว แต่ข้อมูลที่ได้มาตอนแรกเบื้องต้นได้ตรวจสอบแล้วคงไม่ใช่ ดังนั้นคงต้องหาข้อมูลต่อไปว่าเป็นรูปที่ว่าหรือไม่

ส่วนที่มีการระบุว่าเป็นวัดศรีบุญเรือนนั้น ผอ.พศจ.ลำพูน กล่าวว่า จากที่ได้รายชื่อและตรวจสอบเมื่อวานไม่ใช่วัดดังกล่าว ซึ่งวันนี้จะไปตรวจสอบอีกครั้ง เนื่องจากข้อมูลที่ได้มาเป็นแค่ฉายา แต่ไม่มีรูปถ่าย จึงได้แต่สอบถามบุคคลข้างเคียง และต้องหาข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งจากสาธารณสุข เช่น การแปลงเพศ และจากทางตำรวจว่ามีข้อมูลพระที่เกี่ยวข้องที่เราสงสัยหรือไม่ เนื่องจากเราไม่มีรูปภาพที่ชัดเจน และไม่มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงการให้ข้อมูลทางโทรศัพท์แต่ไม่ได้ระบุชื่อที่ชัดเจน


สำหรับโทษนั้น กรณีนี้คงเป็นโลกะวัชชะ คือ โลกติเตียน ซึ่งคงต้องสอบถามเจ้าคณะจังหวัดว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนจะถึงขั้นปาราชิก ก็อยู่ที่เจ้าคณะจังหวัดเช่นกัน ส่วนการดำเนินการอื่นๆ ขึ้นอยู่กับกระบวนการหลังจากสึกไปแล้ว

ส่วนที่มีการระบุว่ามีพระผู้ใหญ่ระดับสังฆาธิการไม่ต่ำกว่า 4 วัด ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศนั้น ผอ.พศจ.ลำพูน กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็มีการจับสึกไปแล้วหลายครั้ง แต่ส่วนมากเป็นการหนีเที่ยวกลางคืน แล้วเจออุบัติเหตุจนด้วยหลักฐาน ส่วนการแปลงเพศนั้นยังไม่เจอ

ผู้ว่าฯจี้ฟันพระลำพูนแปลงเพศ จี้พศ.จับสึกแฉซ้ำดริงก์จับเด็ก

หลังจาก น.ส.กวาง (นามสมมติ) อายุ 25 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ เปิดเผยกับ "คม ชัด ลึก" ว่า พระผู้ใหญ่ของวัดแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.ลำพูน แปลงเพศและเสริมหน้าอก โดยเรียกแทนตัวเองว่า "เจ๊ดาว" มีพฤติกรรมชอบแต่งกายเป็นหญิงออกเที่ยวกลางคืน และซื้อบริการทางเพศจากกลุ่มนักศึกษาชายเป็นประจำ ตามที่ได้เสนอข่าวไปนั้น

ดร.อำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ลำพูน ดำเนินการตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว รวมทั้งให้ขอหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่า พระรูปดังกล่าวได้แปลงเพศจริง ถึงจะสามารถดำเนินการทางวินัยสงฆ์ได้ หากจะให้ พศ.เข้าไปดำเนินการตรวจสอบ โดยขอดูอวัยวะเพศ คงจะไม่เหมาะสม


"การร้องเรียนผ่านทางโทรศัพท์ จำเป็นจะต้องตรวจสอบที่มาที่ไปให้แน่ชัด รวมทั้งต้องมีหลักฐานมายืนยัน เพราะผมเกรงว่า อาจจะเป็นการใส่ร้ายที่จะทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสียชื่อเสียงก็ได้ ในขณะเดียวกัน จะให้หน่วยงานราชการไปถกจีวรของพระดูอวัยวะเพศก็ทำไม่ได้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง ดังนั้น สิ่งที่จะยืนยันได้ว่าพระรูปดังกล่าวกระทำผิดจริงคือ หลักฐานการแปลงเพศ หรือภาพการกระทำที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ หากมีหลักฐานยืนยันแน่ชัดก็คงต้องดำเนินการทางวินัยสงฆ์" ดร.อำนาจกล่าว

ด้านนายสุรชัย ขยัน ผอ.พศจ.ลำพูน กล่าวว่า ทำรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นไปยังเจ้าคณะจังหวัดลำพูน และผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่ออกติดตามพฤติกรรมของพระในวัดที่ถูกกล่าวอ้าง รวมทั้งวัดใหญ่อื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นพบว่าภายในวัดมีพระจำนวนหนึ่งที่มีพฤติกรรมเป็นกะเทย ส่วนพระผู้ใหญ่ที่ถูกเอ่ยถึงขณะนี้กำลังเฝ้าดูท่าทีว่ามีพฤติกรรมตามที่ "คม ชัด ลึก" เสนอข่าวหรือไม่

นายสุรชัยกล่าวอีกว่า ในการเข้าตรวจสอบควรจะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน โดยเฉพาะกับพระผู้ใหญ่ ในตอนนี้แม้ พศจ.ลำพูน จะได้ฉายามาแล้ว แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้ เพราะหากเข้าตรวจสอบแต่ไม่ใช่พระรูปดังกล่าวก็สร้างความเสียหายกับพระรูปนี้ เพราะอาจเป็นได้ว่ามีพระบางรูปแอบอ้างเป็นเจ้าอาวาสเพื่อเสริมบารมี พศจ.ลำพูน จึงฝากถึงผู้ที่ให้ข้อมูล เจ้าของร้านอาหาร รวมถึงผู้ที่มีเบาะแส โดยเฉพาะภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอส่งข้อมูลเหล่านี้ให้เจ้าหน้าที่พศจ.ลำพูน เพื่อดำเนินการตามวินัยสงฆ์ขั้นเด็ดขาด

ขณะที่ นายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าฯ ลำพูน กล่าวถึงพฤติกรรม "เจ๊ดาว" ว่า หากทำจริงถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง และสมควรต้องสึกโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับพระรูปอื่น โดยขณะนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงสักระยะหนึ่ง แม้จะดูเป็นเรื่องละเอียดอ่อนหรือต้องพิสูจน์ แต่ยืนยันว่าไม่ยากที่จะให้สึกหากพบว่าข้อมูลเป็นจริง ส่วนที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำพูนระบุว่า การตรวจพิสูจน์ต้องอิงหลักฐานเป็นหลักก็เข้าใจ แต่การตรวจสอบยังสามารถใช้วิธีอื่นได้อีก หากลำบากใจที่จะตรวจสอบก็จะให้หน่วยอื่นติดตามแทน

ส่วน น.ส.กวาง ผู้เปิดเผยข้อมูลพระแปลงเพศ กล่าวว่า หลังเป็นข่าวต้องเก็บตัวปิดโทรศัพท์มือถือและไม่กล้าออกไปไหน เพราะเกรงว่าจะถูกเจ๊ดาวตามเช็กบิล เพราะที่ผ่านมา เจ๊ดาวมักจะอ้างตัวกับนักศึกษาหนุ่มว่า เป็นลูกนายพลสามารถฝากเข้าเป็นทหารได้ ข่าวที่ออกไปแม้จะไม่ระบุชื่อ แต่เจ้าตัวต้องรู้ตัวดีอย่างแน่นอน ทำให้กลัวว่าเจ๊ดาวอาจไม่พอใจกระทั่งส่งคนมาทำร้ายตนและแฟนหนุ่ม

น.ส.กวางให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า ส่วนใหญ่เจ๊ดาวจะเลือกท่องราตรีในคืนวันเสาร์สิ้นเดือนรวมถึงเทศกาลอื่นๆ เนื่องจากจะมีหนุ่มๆ นักศึกษาเข้าไปมาก ส่วนร้านที่ชอบไปในแต่ละคืนจะมีหนุ่มนักศึกษาจากหลายสถาบันเข้าไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีบางกลุ่มตั้งใจเข้าไปให้กะเทยเลี้ยงโดยตรง ขณะที่บางคนยังพร้อมใจไปต่อด้วยกันหลังร้านปิด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลังตกเป็นข่าวพระกะเทยรูปนี้คงเก็บอาการเลิกเที่ยวไประยะหนึ่ง

ส่วนที่เจ๊ดาวอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนของผับเพื่อชีวิต "ตะวันแดงสาดแสงเดือน" ใน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นั้น นายวีระ ขันธีวิทย์ ผู้บริหารผับตะวันแดงสาดแสงเดือน ณ เชียงใหม่ กล่าวชี้แจงว่า เจ๊ดาวไม่ได้เป็นหุ้นส่วนแต่อย่างใด หากเจ๊ดาวยังแอบอ้างตนว่าเป็นหุ้นส่วนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับตะวันแดง จะต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย

ในช่วง 2-3 ที่ผ่านมา เจ๊ดาวได้มาเที่ยวที่ผับตะวันแดงเป็นประจำ เจ๊ดาวสนิทสนมกับกลุ่มนักดนตรี โดยมาติดพันนักร้องที่ชื่อ "อี๊ด กระชายดำ" ซึ่งร้านยืมตัวมาจากร้านตะวันแดงสาดแสงเดือน ณ อุบลราชธานี เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน ซึ่งเจ๊ดาวบอกนักร้องคนดังกล่าวว่าจะซื้อรถให้ แต่นักร้องที่ชื่ออี๊ดไม่สนใจ ทั้งนี้ บางวันเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูพิงค์ ได้แจ้งอีกว่า เจ๊ดาวพาเณรมาเที่ยวแล้วยังห่มจีวรไว้ข้างใน

"เจ๊ดาวยังทำตัวเป็นกะเทยรุ่นใหญ่เลี้ยงดูปูเสื่อกะเทยรุ่นน้อง โดยอ้างว่าตนเป็นกะเทยพันธุ์แท้ของตะวันแดง ใครจะมาติดพันนักร้องที่ตะวันแดง ต้องติดต่อผ่านเจ๊ดาวก่อน" ผู้บริหารร้านตะวันแดง กล่าว

นายวีระกล่าวอีกว่า เจ๊ดาวชอบออฟหนุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง โดยแบ่งเกรดว่าจากมหาลัยวิทยาลัยของรัฐ และมหาวิทยาลัยของเอกชน ซึ่งจะมีการเดิมพันว่าคืนนี้จะได้หนุ่มหรือไม่ได้

ขณะที่ นายกอล์ฟ (นามสมมติ) กะเทยช่างแต่งหน้ารายหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาได้มีพระกะเทยจ้างให้ไปแต่งหน้าในโรงแรมในตัวเมืองเชียงใหม่ก่อนออกเที่ยวตามผับ ตอนแรกคิดว่าเป็นกะเทยหัวโล้นสวมวิก ซึ่งมีให้เห็นอยู่ทั่วไปจึงรับแต่งหน้าให้ ได้เงินครั้งละประมาณ 500 บาท โดยแต่งหน้าให้พระกะเทยรูปดังกล่าวมานานหลายเดือน แต่ละครั้งจะมีคนขับรถมาส่งเป็นรถเก๋ง ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นใหม่ และฮอนด้า แอคคอร์ดสลับกัน นอกจากนี้ตนยังพบกับพระรูปนี้ในร้านตะวันแดงสาดแสงเดือน ณ เชียงใหม่ หลายครั้ง แต่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าเป็นพระ

กระทั่งเดือนสิงหาคม 2551 จึงทราบว่ากะเทยรายนี้เป็นพระ โดยในตอนนั้นได้ไปธุระใน จ.ลำพูน และมีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย เมื่อตนเห็นหน้าจึงจำได้ว่าเป็นกะเทยที่เคยแต่งหน้าให้เป็นประจำ พระรูปนี้ยังอ้างตัวว่าเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งใน จ.ลำพูน และยังพาไปเที่ยวที่กุฏิภายในวัด ซึ่งเมื่อเข้าไปเห็นภายในกุฏิพบว่ามีวิกผม กระโปรง เสื้อผ้า รองเท้าผู้หญิง กล้องใส่อุปกรณ์แต่งหน้าอยู่เต็มห้อง

นายกอล์ฟกล่าวอีกว่า นอกจากเที่ยวผับใน จ.เชียงใหม่แล้ว พระรูปนี้ยังเดินทางไปเที่ยวร้านอาหารและผับใน จ.เชียงราย บ่อยครั้ง โดยบอกว่ามีเด็กอยู่ที่นั่นหลายคน ซึ่งหลังจากพบว่าเป็นพระแล้ว พระรูปนี้ยังโทรศัพท์มาจ้างให้แต่งหน้าอีกหลายครั้ง แต่ตนบ่ายเบี่ยงไม่รับแต่งหน้าให้อีกเพราะรู้สึกสลดใจ

ส่วนนายนที ธีระโรจนพงษ์ เลขานุการกลุ่มเชียงใหม่อารยะ กล่าวว่า ตอนนี้ข้อมูลเริ่มมากขึ้นตามลำดับซึ่งพฤติกรรมลักษณะนี้ต้องมีการตรวจสอบและดำเนินการโดยเร็ว เพราะสร้างความหม่นหมองให้พุทธศาสนา จึงเรียกร้องให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำพูนเข้าดำเนินการอย่างจริงจังด้วยการพิสูจน์ทราบและจับสึกหากมีหลักฐาน ไม่ว่าพระรูปนี้จะเป็นพระผู้ใหญ่ระดับใดก็ตาม โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องไม่ยากหากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องตั้งใจ

วันเดียวกัน นายวีระพงศ์ ศรีวิชัย ประธานชมรมดูแลพระพุทธศาสนาเชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับแจ้งข้อมูลเบาะแสจากชาวบ้านระบุว่า พระระดับเจ้าอาวาส หรือพระผู้ใหญ่ ในระดับสังฆาธิการที่ตั้งอยู่ในเขต อ.เมือง จ.ลำพูน ไม่ต่ำกว่า 4 วัด เป็นกะเทย ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ และอีกวัดหนึ่งชาวบ้านสังสัยว่า พระผู้ใหญ่รูปหนึ่งเข้าข่ายมีพฤติกรรมในลักษณะล่วงละเมิดทางเพศต่อเณร ซึ่งขณะนี้กลุ่มกำลังอยู่ระหว่างติดตามตรวจสอบอยู่ เนื่องจากปัญหาดังกล่าว หากปล่อยไว้จะมีผลต่อการเสื่อมศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

แหล่งข่าวตำรวจชุดสืบสวนกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จากการตรวจตราตามสถานบันเทิงเธคผับชื่อดังหลายแห่งใน จ.เชียงใหม่ ขณะนี้พบว่ามีพระเณรทั้งที่อายุเกิน 18 ปี และอายุต่ำกว่า หลบหนีออกมาเที่ยวตามสถานบันเทิงเป็นจำนวนมาก มีทั้งในส่วนของพระเณรหนุ่มที่ลักลอบหนีออกมาดื่มสุรา แทงพูลตามผับเธคซึ่งกำลังเป็นที่นิยมสูงสุดของย่านถนนนิมมานเหมินท์ โดยกลุ่มนี้จะหลบเลี่ยงโดยการสวมหมวกแก๊ปเพื่ออำพรางตัว โดยจะมากันอย่างน้อย 2-3 รูป ขึ้นไปและจะเลือกเข้าไปสถานบันเทิงที่ไม่เข้มงวดเรื่องการตรวจอายุผู้มาใช้บริการ

แต่สำหรับพระที่เป็นกะเทยซึ่งแต่งกายเป็นหญิง และสวมวิกผมเข้ามาเที่ยวในสถานบันเทิงยามค่ำคืนนั้นจะสังเกตได้ยาก ส่วนใหญ่ที่พบเห็นและน่าสงสัยว่าจะเป็นพระปลอมตัวมา เพราะคิ้วถูกโกน มองจากลักษณะภายนอกที่สังเกตได้ง่าย โดยมากจะเป็นพระที่แต่งกายและมีบุคลิกคล้ายเกย์มากกว่า อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เข้าไปแสดงตัวจับกุมกลุ่มคนเหล่านี้ เนื่องจากจะมุ่งเน้นไปกวดขันจับกุมเรื่องยาเสพติดและกวดขันอาชญากรรมที่มีภัยที่รุนแรงเร่งด่วนมากกว่า

 

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook