ย้อนรอย..อดีตเจ้าพ่ออ่าง "ชูวิทย์" สร้างคดีสุดระทึกกลางกรุง “รื้อบาร์เบียร์สุขุมวิท”

ย้อนรอย..อดีตเจ้าพ่ออ่าง "ชูวิทย์" สร้างคดีสุดระทึกกลางกรุง “รื้อบาร์เบียร์สุขุมวิท”

ย้อนรอย..อดีตเจ้าพ่ออ่าง "ชูวิทย์" สร้างคดีสุดระทึกกลางกรุง “รื้อบาร์เบียร์สุขุมวิท”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตเจ้าของกิจการอาบ อบ นวดเเละธุรกิจในเครือเดวิด กรุ๊ป ตกเป็นผู้ต้องขังในคดีรื้อบาร์เบียร์เเละต้องโทษจำคุก 2 ปี

หากย้อนเวลาคดีรื้อบาร์เบียร์กลางเมืองหลวงนั้น….. เมื่อช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น.ของวันที่ 26 ม.ค. 2546 กลุ่มชายฉกรรจ์นับหลายร้อยคน แต่งกายชุดซาฟารี พร้อมรถแบ็กโฮ บุกเข้าทำลายร้านบาร์เบียร์ 60 ร้านซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กทม.

โดยการสั่งการในครั้งนี้ คือ นายชูวิทย์ที่ต้องการรื้อเเละขับไล่บาร์เบียร์ที่มาบุกรุกเเละไม่ยอมย้ายออกไปหลังจากนายชูวิทย์ซื้อที่ดินเเปลงนี้มาเเล้ว โดยมีนายทหารคนดังในยุคนั้น คือ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ และ พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร ร่วมดูแลการรื้อถอนครั้งนี้ กลายเป็นจำเลยร่วมไปด้วย

คดีนี้ใหญ่ระดับประเทศหรือไม่นั้น ลองพิจารณาดูว่าอดีต ผบ.ตร. ในช่วงนั้น (พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์) นำตัวนายชูวิทย์เเอบขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อพบกับ สร.1 (นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) มาเเล้ว

ช่วงนั้นนายชูวิทย์โด่งดังเเละออกมาเเฉเรื่องส่วยตำรวจที่เข้ามายุ่งกับธุรกิจสีเทา จนนำไปสู่การโยกย้ายนายตำรวจมากมาย ต่อมานายชูวิทย์ออกมาเเฉเรื่องราวสีเทาจากหลากวงการ ต่อมานายชูวิทย์เริ่มลงสู่สนามการเมือง โดยเริ่มลงสมัคร ส.ว.กทม., ผู้ว่าฯ กทม. เเละ ส.ส.

ครั้งหนึ่งในการเลือกตั้งพ่อเมืองกรุงเทพฯ วงการสีเทามีการพนันกันว่าระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีต ส.ส.กทม. เจ้าของฉายา "ขุนศึกฝั่งธน" กับเจ้าพ่ออ่างว่า ใครจะชนะ (เเม้ทั้ง2 คนจะไม่ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็ตาม) ผลออกมาชูวิทย์คว้าที่ 3 โดยเอาชนะอดีต ส.ส. ฝีปากกล้าเเห่งบางบอนหลายเเต้ม จนใครบางคนในย่านบางบอนกระเป๋าฉีกจากการพลิกโผเเบบนี้

ตอนนั้นนายชูวิทย์เนื้อหอมมาก เเทบทุกพรรคต่างทาบทามให้ร่วมสมัคร เเม้เเต่พรรคใหญ่สุดในประเทศช่วงนั้น (พรรคไทยรักไทย) ยังยื่นเงื่อนไขนี้ทาบทาม ตอนนั้นนายชูวิทย์ตกลงกับพรรคชาติไทยเพราะเป็นพรรคเเรกที่ทาบทามอย่างเป็นทางการ ต่อมาเริ่มมีความขัดเเย้งกับเเกนนำพรรคที่ชื่อ "บรรหาร ศิลปอาชา" เเละโดนขับไล่ออกมา

ทำให้นายชูวิทย์ออกมาตั้งพรรคต้นตระกูลไทย, พรรคสู้เพื่อไทย, พรรครักประเทศไทย โดยมีวิธีหาเสียงเเบบเเปลก ๆ เเต่กระชากใจคนหลายวัยที่เทเเต้มให้ จากนั้นนายชูวิทย์ออกมาเปิดโปงเรื่องราวต่าง ๆ ทางเฟซบุ๊ค "ชูวิทย์ I'm No.5" ให้สังคมติดตามเสมอ ๆ

ส่วนผลทางคดีในช่วงที่นายชูวิทย์โลดเเล่นบนถนนการเมืองเเละโลกออนไลน์นั้น ระยะเวลาทางคดีดำเนินผ่านมานานหลายปี โดยศาลชั้นต้นตัดสินคดีรื้อบาร์เบียร์ว่า "ยกฟ้อง" เเต่เมื่อมาคดีนี้มาถึงศาลอุทธรณ์ ศาลได้กลับคำสั่งศาลชั้นต้น โดยเห็นว่า "จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า พฤติการณ์ของพวกจำเลยได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่เกิดเหตุ และแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน จึงพิพากษาให้มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ ในเวลากลางคืน จึงสั่งจำคุก 5 ปี นายชูวิทย์โดยไม่รอลงอาญา" ซึ่งภายหลังฟังคำพิพากษา นายชูวิทย์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็น ส.ส.และอยู่ระหว่างเปิดสมัยประชุม

เเละเกิดเหตุกลับตาลปัตร เพราะเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2558 ซึ่งศาลนัดนายชูวิทย์มาฟังคำพิพากษาฎีกา แต่กลับต้องเลื่อนการฟังคำพิพากษาออกไป เนื่องจากนายชูวิทย์ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และเปลี่ยนคำให้การใหม่เป็น "รับสารภาพตามฟ้อง" พร้อมทั้งขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษจำคุกต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้ส่งคำร้องของนายชูวิทย์ให้ศาลฎีกาพิจารณา โดยในวันนั้นศาลอาญากรุงเทพใต้ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาอีกครั้งในวันที่ 28 ม.ค. 2559 เวลา 09.00 น.

และเมื่อมาถึงวันชี้ชะตาของนายชูวิทย์ ปรากฏว่าศาลฎีกาตัดสินจำคุกนายชูวิทย์ 2 ปีในคดีรื้อบาร์เบียร์ โดยไม่รอลงอาญา แม้ว่าก่อนหน้านี้นายชูวิทย์จะได้ยื่นคำให้การใหม่จาก "ปฏิเสธ" เป็น "รับสารภาพ" ก็ตาม เนื่องจากศาลเห็นว่า การสารภาพนั้นควรจะกระทำตั้งแต่ศาลชั้นต้น

แต่ นายชูวิทย์ ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายบางส่วน จนเป็นที่พอใจและถอนฟ้องแล้ว พร้อมยังได้บริจาคที่ดินบริเวณปากซอยสุขุมวิท 10 ให้เป็นประโยชน์สาธารณะ จึงมีเหตุบรรเทาโทษพิพากษาแก้ให้จำคุกนายชูวิทย์กับพวกเป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา จากเดิมที่ศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 5 ปี โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายชูวิทย์ คุมขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที


โดยเริ่มรับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ได้รับการลดโทษ 1 ใน 4 ของโทษทั้งหมด เพราะเป็นนักโทษชั้นดี ได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วยการ ลดโทษ ตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2559 เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 และในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

เเละหลังจากได้รับอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2559 เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. นั้น นายชูวิทย์ได้ผ่านขั้นตอนทางกฎหมายเเละได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ รวมเวลาที่นายชูวิทย์ติดคุกคือ 10 เดือน 18 วัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook