“การบินไทย” แจง! พร้อมดูแลค่าเสียหาย สุนัขผู้โดยสารถูกยิงตายที่เกาหลี

“การบินไทย” แจง! พร้อมดูแลค่าเสียหาย สุนัขผู้โดยสารถูกยิงตายที่เกาหลี

“การบินไทย” แจง! พร้อมดูแลค่าเสียหาย สุนัขผู้โดยสารถูกยิงตายที่เกาหลี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

23 ธ.ค. 59 – “การบินไทย” ชี้แจงกรณีเหตุผู้โดยสารเดินทางในเที่ยวบินที่ทีจี 657 (TG 657) เส้นทางโซล – กรุงเทพฯ วันที่ 19 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา แล้วเกิดเหตุสุนัขหลุดจากกรงในลานจอดเครื่องบิน และถูกเจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานอินชอน สาธารณรัฐเกาหลีใต้ ยิงตาย โดยระบุว่า

ฝ่ายภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า จากกรณีมีผู้โดยสาร 2 ท่าน ได้เดินทางในเที่ยวบินที่ทีจี 657 เส้นทาง โซล – กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา พร้อมกระเป๋าสัมภาระ และกรงสุนัขซึ่งบรรจุสุนัขขนาดเล็ก จำนวน 3 ตัว โดยแยกบรรจุสุนัขกรงละ 1 ตัว การบินไทยขอเรียนให้ทราบเบื้องต้นว่า การนำสัตว์เลี้ยงใส่กรงมาเช็คอินเพื่อโหลดไว้ใต้ท้องเครื่องบินนั้น การบินไทยมีมาตรฐานในการดูแลสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างดีทุกขั้นตอน กรงที่ใส่สัตว์เลี้ยงจะถูกลำเลียงจากจุดรับมอบผ่านช่องทางพิเศษ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากเจ้าหน้าที่เฉพาะ ก่อนนำไปใหลดไว้ที่ใต้ท้องเครื่องบิน เพื่อให้มั่นใจว่า สัตว์เลี้ยงที่อยู่ในกรงจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

ทั้งนี้ เมื่อผู้โดยสารมาเช็คอิน เจ้าหน้าที่เช็คอินของสายการบินเอเชียน่า แอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านผู้โดยสารของการบินไทย ที่ท่าอากาศยานอินชอน สาธารณรัฐเกาหลีใต้ ได้ทำการตรวจสอบสภาพของสุนัขและกรงสุนัขทั้งหมดว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์และปิดล็อคอย่างเรียบร้อย จึงเริ่มทำการเช็คอินและบันทึกข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ โดยมีเจ้าหน้าที่การบินไทยที่สนามบินอินชอน เป็นผู้ควบคุมอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงแจ้งให้ผู้โดยสารนำกรงสุนัขทั้ง 3 กรง ไปส่งมอบให้กับพนักงานที่เคาน์เตอร์พิเศษ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสัมภาระของท่าอากาศยานอินชอน เป็นผู้ตรวจสอบสุนัขและสภาพกรงสุนัข ก่อนทำการติดสติ๊กเกอร์ปลอดภัยที่บริเวณรอยต่อของกรงและบริเวณที่ล็อคกรง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: สาวไทยเศร้า สุนัขสุดรักถูกเจ้าหน้าที่สนามบินเกาหลีใต้ยิงตาย

ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของสายการบินเอเชียน่า แอร์ไลน์ส ที่เคาน์เตอร์พิเศษจะทำการติดเทปปลอดภัยบริเวณรอบกรงสุนัข เพื่อให้มั่นใจว่ากรงสุนัขจะไม่สามารถถูกเปิดจากภายนอกได้ จากนั้นจึงทำการลำเลียงกรงสุนัขผ่านช่องทางพิเศษ ส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ของ Korean Airport Service ของสายการบินโคเรียน แอร์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการลานจอดของการบินไทยที่สนามบินอินชอน โดยเจ้าหน้าที่ของ Korean Airport Service ได้ทำการตรวจรับกรงสุนัขและตรวจสอบสภาพสุนัขอีกครั้ง ก่อนลำเลียงกรงสุนัขทั้ง 3 ตัว ไปยังเครื่องบิน ซึ่งแต่ละขั้นตอนเจ้าหน้าที่จะต้องลงนามตรวจรับทุกครั้ง

​อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เจ้าหน้าที่นำกรงสุนัขดังกล่าววางที่พื้นบริเวณลานจอดข้างเครื่องบิน เพื่อรอนำกรงสุนัขขึ้นวางบนพื้นที่ที่ใช้สำหรับขนส่งสิ่งมีชีวิต (BULK) ซึ่งอยู่บริเวณท้ายเครื่องบิน ปรากฏว่าสุนัขตัวหนึ่งได้หลุดออกไปจากกรงและวิ่งหนีเข้าไปในลานจอด เจ้าหน้าที่ลานจอดของ Korean Airport Service ได้พยายามจับสุนัขดังกล่าว แต่ไม่สามารถจับได้ จึงได้แจ้งไปยังศูนย์ประสานงานของท่าอากาศยานอินชอน ในขณะที่การบินไทยได้แจ้งให้ผู้โดยสารรับทราบเหตุดังกล่าวด้วยทันที

การตามจับสุนัขที่หลุดออกจากกรงนั้น​ ท่าอากาศยานอินชอนได้ดำเนินการตามมาตรการของสนามบินถึง 3 ขั้นตอน เพื่อจับสุนัขตัวดังกล่าว เริ่มจากการพยายามจับสุนัขด้วยตาข่าย การพยายามยิงด้วยปืนลม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานอินชอนได้ตัดสินใจใช้กระสุนจริง เนื่องจากสุนัขตัวดังกล่าวได้วิ่งเข้าไปในเขตพื้นที่ทางวิ่ง (Runway) ซึ่งเป็นช่วงที่มีเครื่องบินขึ้นลงเป็นจำนวนมาก และอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอากาศยานและผู้โดยสาร

หลังจากนั้น การบินไทยได้แจ้งไปยังเจ้าของสุนัข ซึ่งพำนักอยู่ในสาธารณรัฐเกาหลีใต้ให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อเจ้าของสุนัขมาถึงท่าอากาศยานอินชอน เจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานฯ ได้ชี้แจงรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และความจำเป็นที่ต้องใช้กระสุนจริง พร้อมขอโทษเจ้าของสุนัขดังกล่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม การบินไทยได้ช่วยเจ้าของสุนัขร้องเรียนไปยังท่าอากาศยานอินชอนว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ซึ่งท่าอากาศยานอินชอนได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้การบินไทยพร้อมรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาตรฐานสากลที่สายการบินต่าง ๆ ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ

อนึ่ง จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เที่ยวบินที่ ทีจี 657 ในวันเกิดเหตุต้องออกเดินทางล่าช้ากว่ากำหนดตามตารางการบินปกติ เป็นเวลาประมาณ 30 นาที

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook