เพชร แกรนด์เอ็กซ์ รอดปาฏิหาริย์ ป่วยมะเร็งสมองระยะสุดท้าย ทั้งที่อยู่ได้อีก 3 เดือน
"เพชร พิทพล โชติสรยุทธ" วัย 53 ปี อดีตสมาชิกวงดนตรี "แกรนด์เอ็กซ์" วงดนตรีชื่อดังยุค 80's ที่ถึงแม้จะเข้ามาในช่วงยุคสุดท้ายของวง ในฐานะมือกลองและมือคีย์บอร์ด แต่เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนคงยังจดจำรอยยิ้มทรงสเน่ห์ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
ซึ่งล่าสุด เพชร พิทพล ก็ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตผ่านรายการ "ยิ่งคุย ยิ่งเคลียร์" ช่อง 5 เกี่ยวกับอาการป่วยโรคมะเร็งลามขึ้นสมองระยะสุดท้าย เมื่อ 3 ปีก่อน จนแพทย์ระบุว่าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่เจ้าตัวทำการรักษาด้วยวิธีทานยาและดูแลสภาพจิตใจจนหายขาดแล้ว เพชร แกรนด์เอ็กซ์ ยังมีโปรเจคพิเศษเป็นการทำอัลบั้มเพลงเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรงพยาบาลรามาธิบดี อีกด้วย...
"ผมป่วยเป็นโรคมะเร็งเมื่อปี 2013 อาการเริ่มต้นคือยกแขนไม่ขึ้น ซึ่งพอคุณหมอทำการผ่าตัดและนำเนื้อส่วนแขนไปตรวจเช็ค จึงพบว่าเป็นเนื้อร้ายที่มาจากไต เลยทำให้ต้องทำการผ่าตัดไตทิ้งไปข้างหนึ่ง และขูดเนื้อบริเวณแขนออก จากนั้นจึงดามแขนด้วยเหล็กจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ตรวจเช็คร่างกายตลอดทุกๆ 3 เดือนนะครับ แต่ก็ไม่มีอาการอะไร จนกระทั่งผมมาประสบกับปัญหาความรัก เชื้อมะเร็งที่มีอยู่มันก็เลยลามขึ้นมาบนสมองและต้นคอ ทั้งหมดมีอยู่ 5 เม็ด เป็นเม็ดใหญ่ๆ ทั้งนั้น แถมยังมีเลือดออกในสมองด้วย"
"ตอนนั้นคุณหมอบอกแม่ผมว่าให้ท่านทำใจ เพราะผมมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 3-6 เดือนเท่านั้นไม่น่าจะเกินไปจากนี้ แต่โชคดีของผมอย่างหนึ่งก็คือ แม่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเลยจนกระทั่งผมหายสนิท (ยิ้ม) คือความรู้สึกตอนที่ทำการรักษาเมื่อ 3 ปีก่อน ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าผมป่วยในระยะไหน แต่ผมก็รู้ดีว่าสภาพของผม ณ ตอนนั้นคืออาการของคนที่เป็นหนักแล้ว เพียงแต่ผมมีความมุ่งมั่นในหัวใจว่าผมจะต้องหายให้ได้"
"จากนั้นผมก็ทำทุกอย่างตามคำสั่งคุณหมอ คือผมมีความหวังว่าผมจะหาย แม้จะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากแต่ผมก็สู้ ผมอยากอยู่ต่อเพราะผมมีความตั้งใจหลายๆ อย่างที่ผมอยากทำ ผมอยากบวชให้แม่ก่อนตายซึ่งผมก็ทำได้ ผมอยากอยู่ดูแลลูกๆ จนเขาจบ และผมก็อยากทำเทปชุดสุดท้ายในชีวิตของผม ซึ่งก็คือผลงานอัลบั้ม เพชร แอนด์ เฟรนด์"
"ร่างกายของผมตอนที่ป่วย ก็...เหนื่อย โทรม ขับรถไม่ได้ เวียนหัว อาการแย่มากครับ แต่เพราะกำลังใจจากครอบครัวผมจึงดีขึ้น แม่ผมพาผมไปไหว้พระตลอดเวลา ครอบครัวคือกำลังใจที่ดีที่สุดของผม วิธีการรักษาของผม ผมจะเน้นทานยาอย่างเดียวครับ เป็นยาที่มีหน้าที่ทำลายเนื้อร้ายโดยเฉพาะ ซึ่งค่ายาผมจ่ายเดือนละ 100,000 บาท เบิกประกันไม่ได้ นอกจากนั้นก็จะมีวิธีฉายแสงอยู่อีก 11 ครั้ง รวมถึงปฏิบัติจิตตัวเองให้ไม่เครียด ทำบุญทุกวันพระ นั่งสมาธิทุกเช้า เพราะถ้าเป็นโรคนี้แล้วเครียดจะไม่รอด"
"สำหรับตอนที่บวช ก็คือตอนนั้นคุณหมอทำการรักษาไปได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว ผมเลยตัดสินใจว่าขอคุณหมอขึ้นไปบวชที่จังหวัดเชียงราย เป็นการบวชให้กับคุณแม่ ผมบวชอยู่ประมาณครึ่งเดือน และหลังจากนั้นพอกลับมาถึงกรุงเทพเพื่อตรวจร่างกายอีกครึ้ง ถึงได้ทราบข่าวดีว่าเชื้อมะเร็งที่เป็นอยู่มีขนาดเล็กลง จาก 2 เซนติเมตร เหลือเพียงแค่ 1.7 เซนติเมตรเท่านั้น และก็ค่อยๆ ลดลงทุกๆ ปี"
"คือผมมีหลวงพ่อคอยเป็นกำลังใจให้ตลอด ท่านบอกผมเสมอว่าผมจะหาย แต่ต้องแลกกันโดยที่ผม ต้องไม่ทานเนื้อสัตว์ใหญ่ ทานมังสวิรัต ทานผัก ไม่ฆ่าสัตว์ และถือศีล 5 ตลอดชีวิต คือถ้าถือศีล 5 ได้ ไม่ว่ายังไงผมก็รอด เรียกว่าเป็นการรักษาทางจิต จนกระทั่งตอนนี้ผลตรวจของผมล่าสุดคือหายสนิทครับ ไม่มีเชื้อมะเร็งแล้ว แต่ก็ต้องทานยาอยู่ แค่ลดประมาณจากเดือนละ 100,000 บาท เหลือแค่ 22,320 บาท (ยิ้ม)"
"ตอนที่หายป่วยแล้ว และคุณแม่มาบอกว่า จริงๆ ช่วงที่ผมเป็นหนักคุณหมอบอกว่าผมมีชีวิตอีกแค่ 3 เดือนเท่านั้น ผมดีใจมากเลยนะ คือถ้าแม่มาบอกผมตั้งแต่แรก ผมก็คงอาจจะไม่มีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ก็ได้ เพราะถ้าผมรู้ตอนนั้นใจผมคงเสีย"
"เอ่อ...สำหรับเรื่องความรักที่ทำให้อาการผมทรุดจนมะเร็งลามขึ้นสมอง ก็คือแฟนผมคนล่าสุด คนสุดท้ายของชีวิต เขาก็ไปโรงพยาบาลกับผม และจังหวะที่เขาเจอกับคุณหมอ เขาก็ถามคุณหมอว่า ผมป่วยในระยะไหน พอคุณหมอบอกเขาว่า ผมป่วยระยะที่ 4 ระยะสุดท้าย เขาก็ร้องไห้และมาหาผม พอเรากลับบ้านด้วยกันเขาก็เริ่มแปลกๆ ซึ่งผมไม่ได้พาดพิงอะไรเขานะ แต่ผมก็เสียใจมากเพราะเราสร้างบ้าน สร้างครอบครัวด้วยกันอย่างดี จากนั้นน้องเขาก็กลับไปอยู่บ้านคุณแม่เขา ส่วนเราก็เสียใจตามระบบ มันเลยเป็นผลให้เชื้อมะเร็งที่ตอนแรกมันอยู่ที่ไต มันก็ค่อยๆ ลามขึ้นสมองทันที"
"ตอนที่มะเร็งลามขึ้นสมอง อาการมันก็จะแบบปวดหัวหนักมาก ปวดหัวไม่มีสาเหตุ เดินเซ ตาพล่า ซึ่งตอนแรกจะให้คุณแม่กับน้องสาวขับรถไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ด้วยความที่อาการมันเป็นหนักมากจนผมรู้สึกว่าไม่ไหว เลยต้องเลี้ยวรถเข้าไปทำการรักษาที่โรงพยาบาลพระราม 9 แทน โชคดีมากครับที่วันนั้นพอเข้าไปแล้วได้เจอกับคุณหมอสมองพอดี หลังจากที่คุณหมอเขาดูอาการเสร็จเรียบร้อยเขาก็สั่งให้แอดมิดเลย ซึ่งทั้งหมดมันเกิดจากภาวะเครียดของเรา"
"ถามว่าทำใจนานไหมกับรักครั้งนี้ เอ่อ...ผมรักษาแผลใจด้วยธรรมมะ ถือว่าเป็นกรรมเก่าของเรา ที่วันนี้หมดเวรหมดกรรมไปแล้ว ก็ขอให้น้องเขาโชคดีเช่นกัน เพราะเราเองก็โชคดีที่เราหาย ถือว่าต่างคนต่างก็ได้ชดใช้กรรมซึ่งกันและกัน หมดเวรหมดกรรมกันไปแล้ว"
"ความจำของผมทุกวันนี้ด้วยความที่อาการป่วยมันเกี่ยวกับสมอง ก็จะมีผลบ้างเหมือนกันที่ทำให้ความทรงจำหายไปบางเสี้ยว เรื่องสมัยเด็กๆ จะจำรายละเอียดไม่ได้ จำชื่อเพื่อนไม่ได้ ทั้งหมดเป็นผลกระทบจากอาการเนื้องอกในสมอง และอาการต่างๆ แต่ตอนนี้หายเป็นปกติเรียบร้อยแล้วครับ แค่ความจำที่มันหายแล้วมันก็หายไปเลยแค่นั้นเอง"
"ช่วงที่ผมหายไปผมก็ประมาณ 20 ปี หายไปทำงานเบื้องหลังเกี่ยวกับงานโฆษณาภาพยนตร์ฝรั่ง ทั้งเขียนสคริปต์ อัดเสียง ซึ่งสาเหตุที่ผมเปลี่ยนสายงานไปทางนั้นก็เพราะใจรัก (ยิ้ม) แต่ล่าสุดนี้ครับ เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ผมก็ได้มีโอกาสกลับมาทำเทปเพื่อการกุศล เป็นอภิมหาโปรเจครวมนักร้องนักดนตรีมากความสามารถกว่า 10 ท่าน มาทำโปรเจคเพลงร่วมกันภายใต้ชื่อ "เพชร แอนด์ เฟรนด์ เดอะ คัลเลอร์ ออฟ เลิฟ"
"เพลงทั้งหมดในอัลบั้มเป็นเพลงที่ผมแต่งเอง และเพลงพิเศษอีก 2 เพลง คือเพลงเทิดพระเกียรติแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ชื่อเพลงว่า "ฟ้าโอบดินอุ่น" และ "ที่สุดท้ายของหัวใจ" ซึ่งผมตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการทำเพลงชุดนี้ไปมอบให้กับ มูลนิธิโรคมะเร็ง โรงพยาบาลรามาธิบดี เพราะในเมื่อเรารอดตายจากโรคมะเร็งร้ายมาได้ ผมก็อยากจะคืนความสุขให้กับผู้ป่วยท่านอื่นบ้าง ส่วนจะวางจำหน่ายเมื่อไหร่นั้น เอ่อ...น่าจะประมาณเดือนมีนาคมปีหน้า ยังไงผมต้องฝากอัลบั้มนี้ด้วยนะครับ"
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ