สะท้อนชีวิตจริง "พรีม รณิดา" นางเอกที่เป็นมากกว่านางเอก

สะท้อนชีวิตจริง "พรีม รณิดา" นางเอกที่เป็นมากกว่านางเอก

สะท้อนชีวิตจริง "พรีม รณิดา" นางเอกที่เป็นมากกว่านางเอก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นับว่าเป็นนางเอกละครช่อง 3 เจนเนเรชั่นใหม่ที่อายุน้อยที่สุดสำหรับนางเอก "พรีม รณิดา เตชสิทธิ์" กับผลงานเรื่องล่าสุด พ่อครัวหัวป่าก์ ที่เพิ่งจะลาจอไปไม่นานและยังมีผลงานละคร เดือนประดับดาว ชั่วโมงต้องมนต์ และ เสน่ห์รักนางซิน ที่จ่อคิวรอวันออกอากาศในเร็วๆ นี้ แต่ถ้าหากย้อนกลับไปราว 5-6 ปี เด็กสาวคนนี้ตัดสินใจเข้าวงการเพราะต้องการหารายได้เพื่อหวังจะช่วยครอบครัวที่มีแค่ตัวเธอ คุณแม่ และพี่ชายที่เป็นดาวน์ซินโดรม

ส่วนคุณพ่อนั้นได้แยกทางกับแม่และกลับไปทำงานในประเทศบ้านเกิด "พรีม รณิดา" ได้เปิดใจกับทีมข่าว Sanook News! เธอไม่เคยคิดน้อยใจกับชีวิตที่ต้องดิ้นรนหารายได้ดูแลทุกคนในครอบครัว แม้จะเหนื่อยกายบ้างกับหน้าที่ "หัวหน้าครอบครัว" แต่หากมองอีกมุมคือ "ความโชคดี" ที่ได้โอกาสทำงานในวงการและรายได้ตรงนี้ก็สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทุกคนในครอบครัวของเธอ

"คือที่พรีมต้องทำงานตั้งแต่อายุ 14-15 เพราะมีส่วนจากที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน พอได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการมันก็เหมือนว่าพรีมก็ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว เพราะถ้าจะให้คุณแม่ทำงานด้วยอีกคนก็จะไม่มีใครดูแลพี่ชายพรีมที่เป็นดาวน์ซินโดรม และไหนๆ พรีมเข้ามาทำงานตรงนี้หลายๆ อย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พรีมก็เลยตัดสินใจเป็นคนทำงานดูแลครอบครัวเองส่วนคุณแม่ก็ให้ดูแลพี่ชายค่ะ"

"หัวหน้าครอบครัว" ในวัยเพียงอายุ 20 

"พรีมว่ามันทำให้เราต้องมีวินัยมากขึ้น มีความอดทน ทำตามใจตัวเองไม่ได้ในบางครั้ง จะทำอะไรต้องคำนึงถึงคนในครอบครัวเป็นหลักก่อนเสมอ อย่างแบบเพื่อนๆ วัยเดียวกับพรีมอาจจะสามารถแฮงค์เอ้าท์ไปเที่ยวกันได้ วันดีคืนดีคิดอยากจะไปเที่ยวเมืองนอกก็ไปกันอาจทำได้สบายๆ แต่สำหรับพรีมทำไม่ได้กลับบ้านดึกไม่ได้เพราะเรามีงานต้องรับผิดชอบ และถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทีมงานอีก 50-60 ชีวิตที่รอเราอยู่จะทำยังไง หรือว่าจะอยู่ๆ อยากจะไปไหนตามใจตัวเอง จะไปเที่ยวก็ไม่ได้เราต้องคิดถึงด้วยว่าเรามีแม่กับพี่ชายที่ต้องดูแลรอเราอยู่"

เหนื่อยแค่กายแต่ไม่เคย..."เหนื่อยใจ"

"สำหรับพรีมมันไม่ใช่ความท้อแต่แค่งอแงคิดว่าทำไมเราต้องเหนื่อยขนาดนี้ ทำไมเราต้องทำอะไรแบบนี้แต่มันก็เป็นเพียงแค่ช่วงอารมณ์แปรปรวนของเด็กวัยรุ่นแต่พรีมคิดว่าพรีมโชคดีนะที่พรีมอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่มักจะมีคำสอนคำแนะนำทำให้พรีมคิดได้คิดเป็น ซึ่งคำแนะนำคำสอนเหล่านั้นพรีมก็เอาใช้และจำไว้อย่างเช่น เวลาพรีมมีอารมณ์งอแงก็จะถูกสอนว่า ให้มองย้อนกลับไปว่าสิ่งที่เราได้กลับมามันโชคดีกว่าคนอื่นมากหน้าที่การงานชื่อเสียงโอกาสที่เราได้แต่มีคนอีกมายเขาก็ต้องการแต่ว่าเขาไม่มี"

"พรีมไม่ได้เหนื่อยเพราะต้องรับผิดชอบภาระตรงนี้แต่แค่บางวันมีเหนื่อยบ้างกับการทำงานเหนื่อยกายแต่ไม่ได้เหนื่อยใจ ทุกอย่างที่พรีมต้องทำเพื่อครอบครัวมันก็มาเองทีละนิดโดยที่พรีมก็ไม่ได้รู้ตัว แต่พอหันมามองดูอีกทีก็คิดว่าเราก็รับผิดชอบอะไรได้เยอะนะ ทุกอย่างที่เข้ามาให้รับผิดชอบเพื่อครอบครัวมันก็มาตามแรงที่พรีมทำไหวค่ะ"

โตมากับ "ความรับผิดชอบ"

"พื้นฐานพรีมเป็นคนจริงจังกับเรื่องเรียนมาก เรื่องผลการเรียนสำหรับพรีมสำคัญมาก จะบอกตัวเองไม่ได้นะจะต้องได้เกรดเท่านี้ เพราะพรีมคิดว่าการศึกษาคือสิ่งที่สำคัญและต่อยอดอะไรมากมายให้กับชีวิตเราในวันข้างหน้า พรีมไม่ใช่เด็กที่เกิดมาท่ามกลางกองเงินกองทองมากมาย พรีมถูกเลี้ยงให้โตมากับความรับผิดชอบตั้งแต่เด็กมันก็เลยกลายเป็นความเคยชินที่ติดตัวมากและทำให้พรีมเข้าใจว่าคนเราไม่ได้อยากได้อะไรก็ต้องได้ ถ้าเราต้องการอยากได้อะไรมันก็ต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างค่ะ"

"ลำบาก" ที่สุดในชีวิต

"ไม่มีค่ะ ถ้าวันไหนที่เรารู้สึกแบบนี้เราจะกลับมานั่งคิดถึงวันแรกๆ ที่เราเริ่มเข้ามาทำงาน แต่สำหรับพรีมไม่มีอะไรที่หนักไปกว่าช่วงแรกที่เพิ่งย้ายมาเมืองไทยใหม่ๆ ซึ่งช่วงนั้นต้องอ่าน เขียนและพูดภาษาไทยให้ได้ภายใน 3 เดือน จากที่เขียนไม่ได้อ่านไม่ออกเพราะจะต้องเข้าโรงเรียนแล้ว พรีมว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดของพรีมแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ท้อ พอเราท้อก็จะมานั่งย้อนกลับไปนึกถึงวันนั้น ถ้าเทียบกับวันนั้น วันนี้ไม่ใช่ความลำบากเลย มันจะเป็นแรงผลักดันเล็กๆ ให้เราทำต่อไปโดยที่เราไม่เหนื่อยหรืออะไร"

นี่แหละคือ "ความภูมิใจ"

"ทำงานละซื้อบ้านให้แม่และพี่ชายได้คือสิ่งที่พรีมภูมิใจมาก มันก็เลยทำให้พรีมคิดได้ว่าช่วงเวลาวัยรุ่นของเราแต่เราเสียสละทำงานเพื่อครอบครัวสิ่งที่ได้มามันคุ้มค่า และทำให้พรีมเข้าใจว่าไม่มีอะไรที่คนเราทำไม่ได้แต่แค่ต้องอาศัยเวลาเพื่อที่จะทำความเคยชินกับสิ่งที่เราทำ พรีมก็เลยคิดว่าอะไรที่เข้ามาให้ทำในชีวิตแล้วมันหนักแสดงว่าเรายังไม่ชิน ไม่เป็นไรปล่อยให้เวลามันผ่านไปเดี๋ยวก็ชินไปเอง พรีมใช้ความคิดแบบนี้ให้กำลังใจตัวเอง จนพรีมก็เริ่มชินกับชีวิตที่ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว มีคนเคยสอนพรีมว่าการไม่มีหนี้ก็เหมือนไม่มีเงิน เพราะหนี้ก็เป็นเหมือนแรงผลักดันเราค่ะ"

เตือนตัวเองอยากได้ดีต้อง "รักตัวเอง"

"พรีมว่าคนเราจะได้ดีเราต้องรักตัวเอง ถ้าเราอยากใช้ชีวิตสบายอยากมีบ้านอยากได้อะไรแล้วก็สามารถซื้อได้โดยที่เราไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อนและดูแลตัวเองได้ต้องเริ่มจากรักตัวเองให้เป็น ไม่ปล่อยใจให้หลงไปกับอะไรที่ทำให้เราเดินไปทางไม่ดี เราต้องควบคุมตัวเราและคิดว่าทำไมเราต้องปล่อยให้ชีวิตเราเดินไปในทางสีดำ ฉะนั้นทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตพรีมไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามพรีมจะคิดเสมอตัวเราจะเป็นคนควบคุมมัน ไม่ใช่ให้สิ่งแวดล้อมอะไรมาควบคุมเรา พรีมเลยไม่ปล่อยให้ชีวิตตัวเองหลงใหลไปกับอะไรง่ายๆ ไม่เอาชีวิตตัวเองไปทิ้งกับสิ่งที่ไม่ดีค่ะ"

จากการสัมภาษณ์นางเอกสาววัยเพียง 20 ปี สะท้อนให้เห็นว่าเด็กที่จะเป็นอนาคตของชาติโตขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น การเลี้ยงดูและอบรมของครอบครัวคือสิ่งสำคัญ ซึ่งเห็นได้จากนักแสดงสาว "พรีม รณิดา" ที่ไม่เคยเอาเหตุผลพ่อแม่แยกทางกันมาเป็นข้ออ้าง แต่เธอกลับใช้ความรักที่จะได้ดีและรักจากคนในครอบครัวมาเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ฉะนั้นตัวอย่างที่ดีแบบนี้หรือไม่ที่เราควรเรียกว่า "เน็ตไอดอล"

 

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ สะท้อนชีวิตจริง "พรีม รณิดา" นางเอกที่เป็นมากกว่านางเอก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook