ต่าย - โอ๋ รักแท้หรือพรหมลิขิต 20 ปีผ่านไป เราได้กลับมาคู่กันอีกครั้ง
ถึงแม้จะไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น พรหมลิขิต หรือ รักแท้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับสองนักแสดงรุ่นใหญ่ "ต่าย สายธาร" และ "โอ๋ ไอศูรย์" ก็อาจจะทำให้ใครหลายคนเผลออมยิ้มได้เหมือนกัน เพราะล่าสุดทีมข่าว Sanook! News ได้มีโอกาสพูดคุยแบบล้วงลึกกับสาวต่ายถึงเรื่องราวความรักครั้งใหม่ ซึ่งเธอบอกเองเลยว่าระหว่างเธอและหนุ่มโอ๋เป็นการกลับมาอินเลิฟอีกครั้งในรอบ 20 ปี หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายไปมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง...
ถามถึงเรื่องราวความรักของเรากับ โอ๋ ไอศูรย์ เราไปเจอกันได้ยังไง ?
"จริงๆ แล้วเรารู้จักกันมา 20 กว่าปีก่อนแล่วค่ะ ย้อนไปนาน คือจริงๆ ไม่อยากพูดอะไรเยอะ เวลาที่เราลงอะไรก็เป็นความสุขของคนที่มีความรักเป็นเรื่องปกติ ถ้ามองให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติก็คือเราไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายหรือเปล่าที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งไม่ใช่ความรักระหว่างของคนที่เป็นคู่รักเท่านั้นนะคะ แม้กระทั่งครอบครัวต่ายต่ายก็ทำแบบนี้มาตลอด ต่ายอาจจะเป็นคนที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง และเราเองก็ไม่ได้ไปทำอะไรที่มันน่าเกลียด ดังนั้นพอกลับมาครั้งนี้มันก็ฟรุ้งฟริ้งกระชุ่มกระชวย ก็เป็นเรื่องดีๆ ค่ะ"
เราเจอกัน 20 ปีที่แล้ว แล้วทำไมเพิ่งมาคลิกกัน ?
"คืออย่างนี้ค่ะ เราไม่เคยเจอกันเลย ไม่เคยคุยกันเลย 20 ปีนี้ที่ผ่านมา แต่เราเคยคบกันมาก่อนเมื่อตอน 20 ก่อน แต่ไม่เคยมีใครรู้ ตอนนั้นต่ายอายุ 20-21 อะ เราเคยคบกันนานมาก แต่พอช่วงที่พี่โอ๋ไปเรียนต่อต่างประเทศ และด้วยความที่เราเด็กด้วย พี่โอ๋ก็ยังถือว่าก็เด็ก ด้วยระยะทางและหลายสิ่งหลายอย่างก็เลยห่างกันไป จนกระทั่งวันหนึ่งพี่เขาไปเจอต่ายในมิวสิคของค่ายมอร์นิ่งเรย์ ซึ่งเพื่อนสนิทเขาทำอยู่ค่ายนี้พอดีเขาก็เลยขอเบอร์แล้วก็โทรมาคุยกับต่าย ตอนแรกเขาก็ขออนุญาตว่ามีเพื่อนเขาชื่อ โอ๋ ไอศูรย์ เราก็ตกใจ แต่ว่าก่อนหน้านั้นไปฮ่องกงแล้วก็ไปขอเรื่องคู่ (หัวเราะ) ที่วัดหว่องไทซิน แล้ววันนั้นใจจริงคือพอเราจบความสัมพันธ์กับคนล่าสุด ก็จบกันด้วยดี เราก็บอกตัวเองว่าเราไม่อยากมีแฟนแล้ว เริ่มอยากอยู่คนเดียวแล้ว แต่วันนั้นเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ เราจะไปขึ้นเครื่องแล้วก็ลังเลจะขอหรือไม่ขอดี คนเขาก็ถามพี่ต่ายตกลงยังไง จะขอหรือไม่ขอ เราก็แบบก็ได้ๆ เขาก็บอกว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก เราก็ขอว่าถ้ามีคู่อีกทีนะขอให้เป็นต่างชาติ ไม่เอาแล้วผู้ชายไทย พอกลับมายังไม่ถึง 2 เดือนเลย ก็คือพี่โอ๋โทรเข้ามา แต่ก่อนพี่โอ๋จะโทรเข้ามาก็สารภาพเลยว่าอยู่ดีๆ ก็คิดถึงเขา ก็เลยไปเสิร์ชกูเกิ้ลหาเรื่องราวของเขาดู จากนั้นก็ส่งไปให้พี่คนหนึ่งที่เป็นแม่สื่อตอนสมัยก่อน บอกว่าเคยได้ยินข่าวพี่โอ๋ไหม เขาก็บอกไม่ ทำไมอยู่ๆ ถาม เราก็บอกไม่มีอะไร แค่นึกถึงเท่านั้นก็จบ ซึ่งช่วงที่พี่โอ๋เข้ามามันเป็นช่วงสิ้นปีพอดี แล้ววันที่ 2 มกราคม เป็นวันเกิดต่าย พี่เขาก็เลยบอกว่าจะมาเจอ ตอนที่เจอกันก็ไม่ได้คิดอะไร เราก็โผเข้ากอดเขาแล้วก็นั่งคุยปกติ แต่พอจากนั้นมาเราก็ได้รู้ว่าสถานภาพต่างคนต่างโสด"
ตอนเริ่มคุยกันแรกๆ ภาพเก่าๆ มันมีย้อนมาในหัวไหม ?
"กลับมาแต่ว่าจำอะไรไม่ค่อยได้ ทุกวันนี้บางทีแม่เรายังพูดว่าแม่เคยไปบ้านพี่โอ๋ เราก็ตกใจเพราะจำไม่ได้ว่าตอนไหน เลยมาถามพี่โอ๋ว่าแม่เคยมาบ้านพี่หรอ เขาก็บอกต่ายเคยไปบ้านเขา ไปทำกับข้าว ก็ต้องมานั่งย้อนว่าเราเคยทำอะไรกันบ้าง เพราะมัน 20 ปีกว่าแล้ว คือพ่อแม่เราพ่อแม่เขาก็รับรู้ตอนที่เราคบกันตอนเด็กๆ"
ภาพจำของเรากับพี่โอ๋ตอนเป็นคู่รักกันเป็นยังไง ?
"โทรศัพท์คุยกัน คือพี่โอ๋เขาจะตกใจว่า ณ วันนี้ต่ายยังมีรูปเมื่อ 20 ปีก่อนเก็บไว้อีกหรอ รูปที่เขาเขียนแล้วก็ส่งข้อความ เราโทรหากันหมดกันไปเยอะมาก เมื่อก่อนไม่มีโปรแกรมแชทเหมือนทุกวันนี้ แล้วมีช่วงหนึ่งพี่เขาจะส่งจดหมายมา ส่งรูปมา แล้วในรูปเขาที่ส่งมาให้เรา ตรงฝาผนังห้องนอนเขาก็จะมีรูปเราแปะๆ ไว้ ทุกวันนี้รูปนั้นก็ยังอยู่ที่เรา แล้วก็มีข้อความที่เขาแต่งขึ้นมาว่า แล้วฉันจะกลับมาในวันที่ ... เราพูดกันแล้วเราก็ขำ แต่พี่โอ๋เขาจะเป็นคนละเอียดอ่อนต่ายเยอะ"
เมื่อ 20 ปีก่อน ความรักของพี่ทั้งสองคนถือว่าเป็นความลับไหม ?
"ในยุคนั้นมันก็เปิดมากไม่ได้นะคะ แต่เราก็คบกันอยู่ประมาณ 2 ปี"
กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ณ ตอนนี้เราเชื่อว่ามันเป็นเรื่องราวของพรหมลิขิตหรือเปล่า ?
"ตอนแรกก็คิดว่าเป็นพรหมลิขิตนะคะ แต่หลังๆ มาเริ่มคิดว่ามันคือเวรกรรม (หัวเราะ) ล้อเล่นนะคะ แต่ต่ายมองว่าการกลับมาครั้งนี้คือพี่โอ๋เขาเคยไปเป็นคริสต์นะคะ เพียงแต่ว่าพอเขามาสนใจในเรื่องของธรรมะและเราเองก็พาเขาไปปฏิบัติธรรมมันก็เลยอาจจะทำให้เราจูนกันง่ายขึ้น เนื่องจากว่าเราเริ่มคุยในเรื่องเดียวกัน และตอนนี้ตัวเขาเองก็ถวายตัวเป็นพุทธมามกะแล้วด้วย"
ด้วยความที่เราเองก็ได้คู่ตามคำขอแล้ว แบบนี้จะต้องมีการกลับไปแก้บนด้วยไหม ?
"จริงๆ ก็ชวนเขาไปด้วยกันอยู่นะ คือจะไปบอกว่าไม่เอาแล้ว ขอคืนสัญญาได้ไหม (หัวเราะ) เพราะอย่างที่บอกเลยค่ะเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และที่สำคัญสิ่งที่ต่ายขอในวันนั้นต่ายเองก็ยังมีความรู้สึกลังเล รวมถึงต่ายยังบอกอีกด้วยว่าต่ายไม่ได้ขอผู้ชายไทย ซึ่งเรื่องนี่ล่ะค่ะที่โอ๋ตอบต่ายกลับมาด้วยตัวเองเลยว่า เขาไม่ใช่ผู้ชายไทยเพราะว่าเป็นคนจีน"
สำหรับความรักครั้งนี้เรามองไกลไปถึงเรื่องแต่งงานเลยไหม ?
"ไม่เลยค่ะ เราอยู่กันแบบนี้ดีกว่า อีกอย่างการที่เราเป็นบุคคลสาธารณะและจะให้เราต้องมาคอยปกปิดหรืออะไรแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ ซึ่งตัวต่ายเองก็ไม่เคยคิดด้วยว่าจะมีคนให้ความสนใจเรามากขนาดนี้ ดังนั้น ณ เวลานี้ต่ายขอโฟกัสว่าการที่เราคบกันเราก็พากันไปในทางที่ดีดีกว่า เราไม่ได้มองไปถึงเรื่องของการมีลูกหรืออะไรเลย เพราะเราเองก็เลขสี่กว่าๆ แล้ว ถ้าหากจะอยากมีมันก็คงเป็นอะไรที่ยาก แต่ถ้ามีก็มีค่ะ แค่ ณ ตอนนี้ต่ายมองว่าต่ายสามารถอยู่กับสัตว์เลี้ยงหรืออะไรก็ได้ แถมตัวต่ายเองก็มีลูกบุญธรรมด้วย ซึ่งอายุ 20 กว่าแล้ว และตัวพี่โอ๋เองก็รู้จักกับน้องดีค่ะ"
"จริงๆ แล้วชีวิตเราไม่ได้คาดหวังนะคะว่าจะต้องมีใครมาดูแล เพราะเราก็ดูแลตัวเองดูแลครอบครัวมาตลอด รวมถึงทุกวันนี้เราเองก็ยังทำงาน ต่อเติมบ้าน ใช้ชีวิตแบบพอเพียง คืออยู่กับธรรมะ ธรรมชาติมากๆ เรียกว่าเราค้นหาตัวเองเจอแล้ว ดังนั้นถามว่าต่ายยังมีความรู้สึกต้องการอะไรอีกไหม ต่ายไม่ได้ต้องการอะไรแล้วค่ะ ทุกวันนี้แค่ต่ายได้ทำหน้าที่จิตอาสาได้ทำสิ่งต่างๆ ที่ต่ายรักต่ายก็มีความสุขแล้วค่ะ"
แต่ด้วยภาพและข้อความต่างๆ ที่มีออกมาให้เห็นมันก็ดูมุ้งมิ้งมาก โดยเฉพาะเมื่อช่วงวันเกิดพี่โอ๋ที่ผ่านมาก็ถือว่าหวานไม่แพ้กัน ?
"จะบอกว่าเป็นวันที่เหนื่อยมากค่ะ ที่เห็นกุ้งแช่น้ำปลาอันนั้นคือเหนื่อยมากจริงๆ เพราะเราเห็นว่าเขาชอบเราก็เลยทำให้เขากิน ถึงขนาดต้องไปยืมครกน้องมาโขลกน้ำพริกน้ำจิ้มให้เขาเลยนะ ก็คือวันนั้นต่ายเปลี่ยนจากให้เค้กมาทำกุ้งแช่น้ำปลาให้เขากินแทน ลงทุนแค่นี้พอเค้กไม่ต้อง (ยิ้ม) และก็จุดโคมไฟให้เขา ซึ่งก็มีบางคนมาแซวนะว่าทำไมเหมือนตี่จู้เอี๊ยะ (หัวเราะ) แต่อันนี้ต่ายต้องขอบคุณทุกคนมากเลยนะที่เขาเข้ามาอวยพร เพราะบางข้อความมันเหมือนกับว่าเขามาอวยพรงานแต่ง มีแบบยินดีด้วยนู่นนั่นนี่ ซึ่งต่ายต้องขอบคุณแฟนคลับทุกคนมากๆ เลยค่ะที่เข้ามาร่วมแสดงความยินดี"
เราคาดหวังมากน้อยแค่ไหนกับความรักครั้งนี้ ?
"ไม่อยากคาดหวังนะคะ แต่ต่ายเองก็เชื่อว่าเวลาที่ทุกคนมีความรักมันก็จะให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรามีพลังบวก และเราก็ทำแต่สิ่งที่บวกๆ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้มีการมานั่งงอนหรือใช้อารมณ์กันแล้ว รวมถึงสิ่งที่เราพากันไปทำมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งเสียหายอะไร มันไม่ได้เกินงาม หรือไม่ถูกกาลเทศะ น้องๆ รุ่นหลังที่เห็นก็สามารถนำไปเลียนแบบกันได้"
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ