"ทรัมป์" เปลี่ยนใจ..โจมตีซีเรีย บานปลายขัดแย้งรัสเซีย?

"ทรัมป์" เปลี่ยนใจ..โจมตีซีเรีย บานปลายขัดแย้งรัสเซีย?

"ทรัมป์" เปลี่ยนใจ..โจมตีซีเรีย บานปลายขัดแย้งรัสเซีย?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การโจมตีด้วยจรวดโทมาฮอว์กเช้าวันนี้ตามเวลาในประเทศไทย นับเป็นการโจมตีรัฐบาลซีเรียเป็นครั้งแรกของสหรัฐฯ นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรียเกิดขึ้นกว่าหกปี และอาจถูกตีความได้ว่าเป็นการยกระดับปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ครั้งสำคัญ ในสมรภูมิที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อซีเรียเท่านั้น ทำให้ถูกจับตาว่าอาจบานปลายไปสู่ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ

ทรัมป์กล่าวหลังสั่งโจมตีด้วยจรวดโทมาฮอว์คไปยังฐานทัพอากาศในซีเรียว่า ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมี ซึ่งละเมิดกฎสหประชาชาติและสนธิสัญญาห้ามใช้อาวุธเคมี เพื่อความปลอดภัยของสหรัฐฯ จึงจำเป็นต้องจำกัดการใช้อาวุธร้ายแรง ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่าหลายปีที่ผ่านมามีความพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมของอัซซาด แต่ไม่สำเร็จ

ประโยคสุดท้ายนี้เองนำมาซึ่งการเปลี่ยนท่าทีของทรัมป์ต่อรัฐบาลซีเรีย จากเดิมทรัมป์เคยแสดงจุดยืนระหว่างหาเสียงเลือกตั้งว่าไม่สนับสนุนการโจมตีต่อรัฐบาลซีเรียโดยตรง และพูดมาหลายปีก่อนเข้าสู่เวทีการเมือง ว่าไม่สนับสนุนให้สหรัฐฯ เข้าสู่สงครามทั้งในอิรัก ซีเรีย และที่ใดๆในโลก ตามนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ที่เน้นการใช้เงินงบประมาณเพื่อเศรษฐกิจปากท้องคนอเมริกันเท่านั้น

แต่มาวันนี้ ทรัมป์ที่นั่งเก้าอี้ผู้นำสูงสุดสหรัฐฯ ได้ไม่กี่เดือน กลับเป็นผู้เปลี่ยนบทบาทกองทัพสหรัฐฯ ในสงครามซีเรียอย่างสิ้นเชิง จากเดิม ทราบกันดีว่ารัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนกลุ่มกบฏที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออัซซาด ผ่านการส่งอาวุธให้และนำกำลังทหารที่เชี่ยวชาญการศึกไปฝึกฝนกลุ่มกบฏ เปลี่ยนมาเป็นการเปิดหน้าโจมตีกองทัพอัซซาดโดยตรง ทำเนียบขาวระบุว่าทั้งหมดเป็นเพราะทรัมป์สะเทือนใจต่อการใช้อาวุธเคมีโจมตีทำให้เด็กๆ ชาวซีเรียเสียชีวิตหลายสิบคน

น่าสนใจว่าครั้งก่อนที่สหรัฐฯ สรุปรายงานในลักษณะเดียวกันนี้เมื่อปี 2013 ว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน ทรัมป์ ซึ่งในเวลานั้นยังคงห่างไกลการเมือง ทวิตแสดงความคิดเห็นว่าโอบามาไม่ควรเข้าสู่สงครามซีเรีย แม้จะเป็นเรื่องเดียวกันแต่ต่างสถานะ การแสดงออกจึงต่างกัน

อย่างไรก็ตาม การเปิดหน้าชนกับซีเรียจังๆ แบบนี้ อาจไม่ได้มีผลต่อความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับซีเรียเท่านั้น แต่ยังอาจหมายถึงการท้าชนกับรัสเซียทางอ้อมที่เป็นผู้หนุนหลังรัฐบาลซีเรียอยู่ โดยเฉพาะเมื่อฐานทัพอากาศที่ทรัมป์สั่งโจมตีด้วยโทมาฮอว์กเช้าวันนี้ เป็นฐานทัพที่มีมีกำลังพลและยุทโธปกรณ์ของรัสเซียประจำการอยู่ด้วย น่าจับตาว่ากรณีนี้จะบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจของโลกหรือไม่

และภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมงรัสเซียก็มีปฏิกริยาทันที วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียระบุว่าปฏิบัติการของสหรัฐฯ เป็นการรุกรานประเทศอธิปไตยในบริบทที่สร้างขึ้นเอง ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ - รัสเซียยังไม่นับอีกหลายประเทศที่ทยอยประกาศจุดยืนหนุนและค้านปฏิบัติการครั้งนี้ของสหรัฐฯ

สิ่งที่ไม่มีผู้นำชาติใดยอมเปิดปากพูดออกมาตรงๆ ก็คือ ซีเรียวันนี้ถือได้ว่าเป็นสงครามที่สามารถเปลี่ยนดุลอำนาจในตะวันออกกลางได้ การชนะหรือแพ้สงครามนี้ทั้งทางตรงทางอ้อมของทุกฝ่ายจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวด เพราะสงครามนี้ไม่ได้มีเพียงประชาชนชาวซีเรีย รัฐบาล กลุ่มกบฏ และไอเอส หากแต่ยังมีรัสเซีย อิหร่าน ตุรกี กลุ่มประเทศตะวันออกกลางมุสลิมสุหนี่ และสหรัฐฯ ที่มีผลได้ผลเสียอยู่บนเลือดเนื้อที่สังเวยในสงครามแห่งศตวรรษที่ 21 นี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook