คำต่อคำ ลูกเมีย บูบู้ กำธร ขอโทษทำให้พ่อถูกสังคมโจมตี

คำต่อคำ ลูกเมีย บูบู้ กำธร ขอโทษทำให้พ่อถูกสังคมโจมตี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงบันเทิง เมื่อมีกระแสข่าวเรื่องของสามีของดาราตลกชื่อดัง แอบซุกลูกชายที่ปัจจุบันอายุ 17 ปีแล้ว ซึ่งภายหลัง "บูบู้ กำธร" สามีของ "ตุ๊กกี้ ชิงร้อยฯ" ก็ออกมายอมรับว่าเป็นตนเอง จนเกิดกระแสวิจารณ์ต่างๆ นานา โดยเฉพาะประเด็นบล็อกเฟซบุ๊กกับลูกชายที่พยายามติดต่อ หรือการส่งเสียเลี้ยงดูแค่เพียงเดือนละ 3,000 บาท ล่าสุด "ชนิษฐา" อดีตภรรยา และ "น้องก๊อต" ลูกชายวัย 17 ปี ได้ออกมาเปิดใจกับทุกคำถามว่า...

ตั้งแต่เกิดเรื่องได้คุยกับอีกฝ่ายแล้วหรือยัง เขามีติดต่อมาหาเราบ้างไหม ?
คุณแม่ – “ยังไม่ได้คุยเลยค่ะ เขาอาจะยังรวบรวมคำพูดหรือทุกสิ่งอย่างอยู่ แต่ว่าตอนนี้ก็ยังไม่ได้คุยค่ะ”

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากตอนที่น้องอยากติดต่อกับคุณพ่อใช่ไหม ?
ลูกชาย – “ใช่ครับ ก็อยากจะเจอคุณพ่อ อยากจะพูดคุยกันสักนิดหนึ่งครับ”

เราได้มีโอกาสติดต่อกับเขามานานแค่ไหนแล้ว ?
ลูกชาย – “เพิ่งจะปีนี้ครับ เพราะที่ผ่านไม่เคยได้ติดต่อด้วยตัวเองเลย ซึ่งช่วงที่ผมติดต่อไปก็คือช่วงประมาณต้นปี ประมาณเดือนมกราคม แต่ถามได้คุยกันกี่ครั้งแล้ว ก็…ไม่น่าเกิน 6 ครั้งครับ”

ตอนที่เราทักไปคุยกับเขาส่วนใหญ่เราคุยกันเรื่องอะไรบ้าง ?
ลูกชาย – “ตอนเดือนมกราคมที่ทักไปครั้งแรก ผมขอให้ช่วยอวยพรวันเกิดซึ่งเป็นวันเกิดของผมเอง อยากให้อวยพรให้หน่อย ซึ่งนั่นคือครั้งแรกที่ได้คุยกัน แต่หลังจากนั้นก็จะมีทักไปบ้างว่าพ่อว่างคุยไหม ซึ่งคุณพ่อเขาอาจจะไม่ว่างก็เลยตอบว่าไม่ว่างอะไรแบบนั้นอ่ะครับ”

เราทราบเมื่อไหร่ว่าเขาคือพ่อของเรา ?
ลูกชาย – “ตอนที่ไปทำบัตรประชาชนครับ ก็คือเหมือนคนที่เขาทำตรงนั้นรูปมันไม่ตรงกับพ่อคนปัจจุบันของเรา ผมก็เลยเกิดความสงสัยและเอาไปถามคุณแม่ว่ามันเป็นยังไงเกิดอะไรขึ้น คุณแม่เขาก็เลยบอกถึงสาเหตุที่ต้องปิดบังเราว่าเป็นเพราะอยากให้เราไม่รู้สึกแย่ ก็คือเป็นการเซฟความรู้สึกของผมมากกว่าครับ”

ตอนที่รู้ว่าคุณพ่อที่เลี้ยงเรามากับคุณพ่อจริงๆ ของเราเป็นคนละคนเรารู้สึกยังไงบ้าง ?
ลูกชาย – “ไม่ได้ช็อคและก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนะครับ ก็คือแค่เข้าใจว่ามันเป็นแบบนี้ คือคนนี้ ซึ่งก็ไม่ได้มีแบบว่าตกใจหรือว้าวอะไรขนาดนั้น”

จริงๆ ก่อนที่เราจะมารู้เรื่องราวทั้งหมดเราเคยแอบสงสัยมาก่อนไหม ?
ลูกชาย – “ไม่มีครับ ไม่มีเลยครับผม”

หลังจากที่ทราบแล้วว่าเขาคนนั้นคือพ่อเรา เราได้พยายามหาช่องทางติดต่อเขาเลยหรือเปล่า ?
ลูกชาย – “ไม่ครับ ไม่ คือพอเราทราบปุ๊บเราก็แค่ไปเสิร์ชหาชื่อว่าเขาคือใคร แต่ก็ยังไม่ได้ติดต่อเขาแค่ถามกับคุณแม่เฉยๆ ว่าทุกวันนี้ยังได้คุยกันบ้างหรือเปล่า แม่เขาก็บอกว่ายังติดต่ออยู่ ซึ่งในส่วนของอันนี้ผมไม่ได้ยุ่งผมก็ให้แม่เขาจัดการไปดีกว่า”

น้อยใจไหมที่เขาเองก็เป็นคนในวงการแต่ก็ไม่ได้มาดูแลเราดีเท่าที่ควร ?
ลูกชาย – “น้อยใจส่วนหนึ่งครับ แต่ก็เข้าใจด้วยเหมือนกันว่าตรงนั้นเขาอาจจะทำมาด้วยตัวเองและเราเองก็ไม่สมควรที่จะไปก้าวก่ายกับส่วนนั้นของเขาครับ”

ถามย้อนกลับไปนิดหนึ่งถึงสาเหตุที่ทำให้เราอยากติดต่อกับเขาจริงๆ ตอนนั้นเราคิดอะไรในใจ ?
ลูกชาย – “อยากจะคุยครับ เพราะที่ผ่านผมไม่ได้ติดต่อเขาเลย ผมเพิ่งจะมาติดต่อเขาครั้งแรกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตอนที่ผมอายุ 17 แล้ว”

ตอนที่ได้คุยกับเขาครั้งแรกความรู้สึกของเราเป็นยังไงบ้าง เพราะเหมือนเขาเองก็ถามคำตอบคำ ?
ลูกชาย – “ใช่ครับ แต่เขาอาจจะไม่ว่างก็ได้ครับ ซึ่งผมเข้าใจเขาเหมือนกัน และจริงๆ แค่เขาตอบมาว่าอวยพรผมก็ดีใจแล้วครับ”

เขาได้ถามเราก่อนไหมว่าเราเป็นใครตอนที่เราทักไปครั้งแรก ?
ลูกชาย – “ตอนที่ทักไปครั้งแรกผมก็ได้แนะนำตัวแล้วครับว่าผมเป็นใคร อะไรแบบนี้อ่ะครับ แต่ตัวเขาเองก็อาจจะไม่แน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า”

ระหว่างคุณแม่กับอีกฝ่ายได้มีการติดต่อกันตลอดไหม ?
คุณแม่ – “ก็อย่างที่เคยบอกไปนะคะว่าเราเองก็ติดต่อหลังจากที่น้องชายได้มีโอกาสเจอกับผู้จัดการเขา ซึ่งภายหลังผู้จัดการเขาก็โทรมา แต่คือกับเขาก็จะไม่ค่อยได้คุยกันเป็นการส่วนตัว น้อยมาก สักครั้งสองครั้งได้ค่ะที่จะได้คุยกันเอง”

ถามถึงเรื่องการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เขาช่วยรับผิดชอบ อันนี้เขาช่วยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
คุณแม่ – “เมื่อ 4 ปีที่แล้วค่ะ ตอนที่ได้เจอกับผู้การส่วนตัว ซึ่งผู้จัดการเขาก็ติดต่อมาว่าให้เท่านี้นะ เดือนละเท่านี้ ซึ่งก็ตามรายละเอียดค่ะ ให้มาตลอด”

เขาเคยถามไหมว่าลูกอายุเท่าไหร่แล้วเป็นยังไงบ้าง ?
คุณแม่ – “ส่วนมากหนูอยากบอกแทนค่ะ เพราะบางทีเขาอาจจะลืมถาม”

ทราบเหตุผลไหมว่าทำไมเขาถึงเพิ่งจะอยากมารับผิดชอบช่วง 4 ปีหลังมานี้ เพราะอายุจริงๆ ของน้องก็ 17 แล้ว ?
คุณแม่ – “หนูเข้าใจนะคะ คือทุกคนก็มีชีวิต ตัวเขาเองก็อาจจะอยากสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อชีวิตของเขา”

แสดงว่าก่อน 4 ปี ที่เขาจะเข้ามาช่วยรับผิดชอบ เรากับเขาก็ไม่เคยได้ติดต่อกันเลย?
คุณแม่ – “ใช่ค่ะ”

อย่างที่มีข่าวออกมาว่าเราได้บ้างไม่ได้บ้างเรื่องค่าเลี้ยงดู อันนี้ช่วงที่เราไม่ได้นานสุดคือนานแค่ไหน ?
คุณแม่ – “3,000 บาท ได้ทุกเดือนนะคะ แต่ที่บางทีเราขอเพิ่มไปในส่วนของค่าใช้จ่ายนู่นนี่นั่นเราก็ได้บ้างไม่ได้บ้างค่ะ”

อย่างเรื่องค่าเล่าเรียน และค่ารักษาพยาบาล อันนี้เป็นการตกลงผ่านผู้จัดการส่วนตัวใช่ไหม ?
คุณแม่ – “ค่าพยาบาลตอนแรกไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะคะ แต่อย่างที่แจ้งไว้คือช่วงนั้นน้องเขาป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด และเราเองก็ไม่รู้จะหาทางรักษายังไง เพราะค่ารักษาบัตร 30 บาท มันควบคุมไม่อยู่ เราก็เลยต้องขอเขาไป”

ก่อนที่เขาจะมาช่วยรับผิดชอบช่วง 4 ปี ให้หลังมานี้ ตอนนั้นเรารู้สึกยังไงบ้าง ?
คุณแม่ – “ไม่ได้รู้สึกยังไงนะคะ เพราะเราเองก็ยังไหว อีกอย่างคือทุกคนก็ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว ตัวทุกต้องมีฝันของตัวเอง”

เหตุผลที่คุณแม่ออกมาในวันนี้คืออะไร ?
คุณแม่ – “หนูไม่ได้อยากออกนะคะ หนูอยู่ในต่างจังหวัดของหนู หนูอยู่กับสามีของหนู อยู่กับครอบครัวของหนู หนูอยู่ในโลกของหนู คือตอนนี้ลูกเขาต้องการสิ่งที่อีกนิดเดียว แค่อยากจะพูดคุยกับพ่อ อยากจะได้เจอ อยากจะได้สัมผัสกอด พูดคุยกันกับพ่อแท้ๆ”

วันนี้เรากับน้องก็มากรุงเทพแล้ว อยากจะพาน้องไปเจอกับคุณพ่อไหม ?
คุณแม่ – “ถ้าเขาพร้อมเจอกับลูก หนูก็จะยืนอยู่ข้างหลังลูก ถ้าลูกไปตรงไหนหนูก็จะยืนอยู่ตรงนั้นค่ะ”

เราอยากยังเจอกับคุณพ่ออยู่ไหม ?
ลูกชาย – “อยากเจอครับ ผมไม่ได้มีอคติอะไรเลย ผมยังอยากเจอกับเหมือนเดิมครับ ขอแค่ได้เจอกันสักครั้ง”

ถ้าหากได้เจอเขาแล้วอยากจะบอกอะไรเขาเป็นพิเศษไหม ?
ลูกชาย – “ก็คงจะทักว่าหน้าเหมือนกันอะไรแบบนี้มั้งครับ อยากกอดสักครั้งหนึ่ง ถ้าได้เจอครั้งแรกก็คงกอดแน่นอนครับ”

ความรู้สึกน้อยใจของเรา ณ ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม ?
ลูกชาย – “ตอนนี้กลายเป็นความรู้สึกผิดกับตัวเองมากกว่าครับ ที่เรื่องนี้ทำให้มีคนไปโจมตีเขา แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้อยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้เลย”

ตอนที่เขาอวยพรวันเกิดแต่ไม่ได้เรียกเราว่าลูกเราน้อยใจไหม ?
ลูกชาย – “ไม่เลยครับ อย่างน้อยแค่เขาตอบมาก็ดีใจแล้ว”

สำหรับเรื่องที่เขาบล็อกเฟซบุ๊กเราล่ะ เรารู้สึกยังไงบ้าง ?
ลูกชาย – “อาจจะเป็นเพราะอย่างที่พ่อออกมาพูดก็ได้ครับว่าอาจจะเป็นคนที่เข้ามาแอบอ้าง ซึ่งเรื่องพวกนี้มันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ ผมเข้าใจดีครับ”

กระแสที่เข้ามาหาเราตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ?
ลูกชาย – “ก็มีทั้งบวกทั้งลบครับ ตอนแรกก็รู้สึกว่าค่อนข้างรุนแรงนะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น”

อย่างบางกระแสที่มองว่าถ้าอยากจะเรียกร้องจริงๆ ก็คงเรียกร้องไปนานแล้ว ?
คุณแม่ – “ใช่ค่ะ หนูไม่จำเป็นที่จะต้องให้เขาแต่งงานกันก่อนแล้วออกมาเปิดเผยเพื่อที่จะให้เขายิ่งเจ็บ เพราะหนูเองก็เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงว่าเวลาที่เป็นแบบนี้แล้วมันเจ็บ เพราะแฟนเราไม่ได้บอกกับเราก่อนใช่ไหมคะ แต่อย่างที่หนูบอกพอลูกเขาต้องการต้องนี้เราก็ต้องยืนอยู่ข้างหลังเขา ถ้าหากลูกมาหนูก็ต้องมาแค่นั้นเอง”

เรายังหวังอะไรอีกไหมนอกจากเจอกับคุณพ่อแล้ว ?
ลูกชาย – “ตอนนี้ก็หวังแค่ให้ทุกคนอย่าไปโจมตีเขา ให้เขาได้แสดงความเห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือออกมาอธิบายก่อนดีกว่า และก็อยากให้เปลี่ยนมุมมองทั้งกับพ่อและก็กับผมและแม่ด้วยครับ”

ตอนนี้คุณพ่อโดนโจมตีว่าไม่มีเงินเลี้ยงลูก แต่ตัวเองกลับใช้ชีวิตหรูหรา ?
ลูกชาย – “อันนี้เป็นสิ่งที่เขาสร้างมา เขาทำธุรกิจมา เขามีเงิน เขาก็มีสิทธิ์ใช้ชีวิตของเขาอย่างที่เขาฝันมา ซึ่งผมก็ไม่ได้อะไรเลยครับ ผมยินดีด้วยครับ”

ส่วนตัวเราเองเห็นว่าอยากเรียนต่อใช่ไหม ?
ลูกชาย – “ใช่ครับ อยากเรียนต่อครับ”

ถ้าสมมุติหลังจากที่มีข่าวออกมาแล้ว ทางฝั่งคุณพ่อเขาอยากจะรับดูแลน้องเอง เราจะว่ายังไงบ้าง ?
คุณแม่ – “ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค่ะ สิ่งไหนดีที่สุด ตรงไหนดีที่สุดสำหรับเขา เราก็ถือว่าดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องถามลูกด้วยว่าเขาจะรู้สึกยังไงบ้าง อันนี้แล้วแต่ลูกหมดเลย”

ลูกชาย – “สำหรับผมเองก็ถ้าเป็นเรื่องนี้คงต้องคุยกันสักพักเลยครับ เพราะผมเองก็เป็นห่วงทั้งความรู้สึกของพ่อคนปัจจุบัน และถ้าเลือกได้จริงๆ ผมคงไม่ไปดีกว่า เพราะผมเองก็อยากอยู่กับครอบครัวทางฝั่งนี้ที่เขาเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็กๆ”

ทุกวันนี้เงิน 3,000 บาท ที่เขาส่งเสียให้เราใช้จ่ายเรื่องลูกก็ยังคงให้ปกติ ?
คุณแม่ – “ใช่ค่ะ อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมาเขาก็เพิ่งจะส่งมาให้ค่ะ”

เราคิดว่ามันน้อยไปไหมเงิน 3,000 บาท ?
คุณแม่ – “สำหรับคนบางคนอาจจะดูน้อยนะคะ แต่สำหรับหนูหนูคิดว่ามันมีค่านะคะในวันที่เราไม่มี”

ถ้าหากน้องต้องเรียนและค่าใช้จ่ายมันเพิ่งขึ้นเราคิดว่าเงินตรงนี้เพียงพอไหม และคิดบ้างหรือเปล่าว่าอาจจะต้องขอเพิ่ม ?
คุณแม่ – “ถ้าในส่วนของหนู หนูไม่สามารถเรียกร้องได้ค่ะ แต่ถ้าในส่วนของน้อง ถ้าน้องได้เรียนจริงจัง คือค่าใช้จ่ายทุกอย่างเนี่ยจะเรียกว่าขอเพิ่มมันก็คงต้องเป็นแบบนั้น ถ้าหากน้องต้องเรียนจริงๆ ทั้งค่ารถเดินทาง ค่ากินค่าใช้ มันก็อาจจะต้องขอเพิ่มค่ะ”

เราตั้งใจจะเรียนอะไรต่อสำหรับน้อง ?
ลูกชาย – “ตั้งใจจะเรียน กศน. ครับ เพราะวันว่างจะได้ช่วยคุณแม่ขายของ”

ตอนนี้คุณแม่ทำอาชีพอะไรอยู่ ?
คุณแม่ – “เป็นแม่ค้าค่ะ ขายอาหารทะเล ขายเสื้อผ้า”

มีหนี้สินที่ต้องจ่ายบ้างไหม ?
คุณแม่ – “หนูมองว่าหนี้สินทุกคนต้องมีนะคะ คือถ้าอยากเริ่มสร้างเราก็ต้องลองดู แต่คือการที่เราลองแล้วเราพลาด เราก็ต้องชดใช้สิ่งที่เราก่อ แต่ถ้ามันดีมันประสบความสำเร็จมันก็จะทำให้หนูสามารถเลี้ยงลูกได้โดยที่ไม่ต้องมีวันนี้ แต่พอมันไม่สำเร็จ พอมันไม่พอ มันก็ทำให้ลูกเขาคิดว่าถ้าพ่ออีกนิดหนึ่งได้ไหม เพราะเขาเองก็จะได้เรียนหนังสือ (น้ำตลอ)”

เรามีอะไรอยากจะบอกกับคุณพ่อบ้างในวันนี้ ?
ลูกชาย – “อยากขอโทษที่ทำให้มันออกมาเป็นรูปแบบนี้ ทำให้คนมาโจมตีพ่อ ผมไม่ได้อยากจะให้เรื่องราวเป็นแบบนี้นะครับ ผมยังยืนยันว่าอยากเจอพ่อ อยากขอโทษด้วยตัวเองในวันที่เราได้เจอกันครับ”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook